ผลพวงจากการที่ยักษ์ใหญ่ของฮอลลีวูดอย่าง Disney ได้เข้าซื้อกิจการสตูดิโอโปรดักชันชั้นนำอย่าง ลูคัสฟิล์ม (Lucasfilm) ผู้ให้กำเนิดจักรวาลภาพยนตร์ชื่อดังมากมาย ตั้งแต่ ‘Star Wars’ ไปจนถึง ‘Indiana Jones’ รวมทั้งบริษัทในเครือ มีผลทำให้ Disney ได้สิทธิ์ในการสร้าง ฉาย และจัดจำหน่ายภาพยนตร์และซีรีส์ในจักรวาล ‘Star Wars’ ทั้งหมด รวมทั้งการเผยแพร่คอนเทนต์ต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มสตรีมมิง Disney+ ของตัวเอง
แต่ดูเหมือนว่า Lucasfilm ภายใต้ร่มเงาของบ้านหนูยักษ์จะไม่ค่อยเจริญเติบโตเท่าที่ควร หนังที่เป็น Canon หลักของจักรวาลที่เรียกกันว่า มหากาพย์สกายวอล์กเกอร์ (Skywalker Saga) ในยุคสมัยของ Disney หรือที่เรียกกันว่า ไตรภาคต่อของสตาร์ วอร์ส (Star Wars Sequel Trilogy) กลับได้รับคำวิจารณ์จากผู้ชมอย่างหนัก ด้วยทิศทางของเรื่องราวที่ไม่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่มีมายาวนานหลายทศวรรษ
นับเป็นครั้งแรกที่จอร์จ ลูคัส (George Lucas) ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ผู้ให้กำเนิดจักรวาล ‘Star Wars’ ได้มีโอกาสออกมาพูดถึงจักรวาล ‘Star Wars’ ภายใต้ร่มเงาของ Disney ระหว่างที่เขาเข้ารับรางวัลปาล์มทองคำกิตติมศักดิ์ (Honorary Palme d’Or) ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 77 (The 77th annual Cannes Film Festival) หลังจากที่เขาไม่เคยกล่าวแสดงความคิดเห็นใด ๆ หลังจากที่ ‘Star Wars: Episode VII – The Force Awakens’ (2015) ออกฉาย
แม้ว่าตัวเขาเองจะเคยกล่าวชื่นชมหนังสปินออฟ ‘Rogue One: A Star Wars Story’ (2016) และมินิซีรีส์ ‘Obi-Wan Kenobi’ (2022) รวมทั้งเคยกล่าวชื่นชม Disney ในเรื่องของการมีแนวคิดและงานโปรดักชันที่ดี แต่เขาก็เปรียบตัวเองเหมือนกับพ่อแม่ที่ลูก ๆ เติบโตและย้ายออกจากบ้านไป ก่อนจะสังเกตเห็นว่า มีการตัดสินใจบางอย่างที่ Disney ทำกับ ‘Star Wars’ นั้นไม่สอดคล้องกับแนวคิดดั้งเดิมของเขาอีกต่อไป
“ผมเป็นคนที่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว Star Wars คืออะไร…ผมรู้จักโลกใบนี้จริง ๆ เพราะว่าในนั้นมันมีอะไรอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของพลัง (The Force) ไม่มีใครที่เข้าใจเรื่องของพลัง (Force) จริง ๆ เลย แล้วเมื่อตอนที่พวกเขา (Disney) เริ่มต้นทำภาคอื่น ๆ หลังจากที่ผมขายบริษัทไป แนวคิดมากมายที่เคยมีในฉบับดั้งเดิมก็สูญหายไปหมด ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้าคุณปล่อยมือแล้ว คุณก็ต้องยอมปล่อยมันไป”
หลังจากที่ ‘Star Wars’ ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยรายได้ Box Office ทั่วโลกจากทั้ง 6 ภาครวมกว่า 4,350 ล้านเหรียญ Lucasfilm ได้ทำข้อตกลงขายกิจการให้กับ Disney ในเดือนตุลาคม ปี 2012 รวมทั้งกิจการในเครือทั้งสตูดิโอแอนิเมชัน (Lucasfilm Animation) บริษัทผลิตเกม (LucasArts) บริษัทผลิตวิชวลเอฟเฟกต์ (Industrial Light and Magic) และสตูดิโอด้านเทคนิคเสียง (Skywalker Sound) ด้วยมูลค่ามหาศาลถึง 4,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 152,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้ Disney ได้สิทธิ์ในการผลิต ฉาย และจัดจำหน่ายแฟรนไชส์ ‘Star Wars’ และ ‘Indiana Jones’
Lucasfilm ใต้ปีกของ Disney ได้เริ่มผลิตไตเติลที่เป็นเรื่องราวภายใต้จักรวาล Star Wars ออกมา โดยเฉพาะภาคหลักทั้ง ‘Star Wars: Episode VII – The Force Awakens’ (2015), ‘Star Wars: Episode VIII – The Last Jedi’ (2017) และ ‘Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker’ (2019) รวมทั้งสปินออฟในรูปแบบทีวีซีรีส์และแอนิเมชันออกมามากมาย
แม้รายได้ของทั้ง 3 ภาคหลักจะอยู่ในระดับแตะหลัก 1,000 ล้านเหรียญ แต่นั่นก็ตามมาด้วยคำวิจารณ์มากมาย ทั้งการคุมทิศทางของเรื่องราวที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามวิสัยทัศน์ของผู้กำกับแต่ละภาค การถือวิสาสะปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องและตัวละครจากเรื่องราวต้นฉบับ (ที่ลูคัสสร้างเอาไว้) แบบไม่แคร์แฟนเดนตาย การเล่นกับเรื่องราวเนื้อหาและตัวละครด้วยสูตรพล็อตแบบเดิม ๆ ความ Woke ของตัวละครบางตัว พล็อตที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ และยัดเยียดแฟนเซอร์วิสแบบไม่มีเหตุอันควร ฯลฯ
ทำให้แฟนคลับบางส่วนถึงกับไม่นับทั้ง 3 ภาคว่าเป็นเรื่องราวในจักรวาลเดียวกันเลยด้วยซ้ำ หรือถึงขั้นโจมตีว่า Disney เอาของดี ๆ ที่ Lucasfilm มีไปทำพังหมด ไม่เว้นแม้แต่สปินออฟ จะมีก็แต่ ‘Rogue One’ และซีรีส์ ‘The Mandalorian’ (2019-2023) ที่ได้รับทั้งคำชมและรางวัล
แม้ว่าลูคัสในฐานะผู้ให้กำเนิดจักรวาลจะคอยให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการสร้างหนัง Star Wars ของ Disney มาโดยตลอด แต่สิ่งที่เขายอมรับอย่างชัดเจนก็คือ จักรวาล Star Wars ภายใต้การดูแลของ Lucasfilm ที่มีประธานคนปัจจุบันคือแคธลีน เคนเนดี (Kathleen Kennedy) เป็นหัวเรือใหญ่ ไม่ได้เป็นไปตามแนวคิดดั้งเดิมที่เขาวางรากฐานเอาไว้มาตั้งแต่ปี 1977 อีกต่อไปแล้ว
พอล ดันแคน (Paul Duncan) ผู้เขียนหนังสือ ‘The Star Wars Archives: Episodes I-III 1999-2005’ ได้เปิดเผยข้อความที่ลูคัสได้เล่าถึงสาเหตุของการตัดสินใจขายอาณาจักร Lucasfilm ที่เขาสร้างมากับมือ และการเข้าใจถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“สมมติว่าถ้าผมยังกำกับ Episode 10 ในปี 2012 ตอนนั้นผมอายุ 69 ปี คำถามคือ ผมจะยังทำแบบนี้ไปตลอดชีวิตได้จริง ๆ หรือ ? และผมยังจะต้องทำมันอีกสักกี่ครั้ง ในที่สุด ผมเลยตัดสินใจที่จะเลี้ยงลูกสาวของผม และหยุดพักไปใช้ชีวิตสักพักหนึ่ง แต่ผมก็ไม่สามารถจะขาย Lucasfilm และหาใครสักคนมาคุมงานสร้างได้”
“ผมพยายามจะเอาตัวเองออกห่างจาก ‘The Empire Strikes Back’ และ ‘Return of the Jedi’ แต่ก็ทำไม่ได้ ผมอยู่ตรงนั้นทุกวัน แม้ทุกคนจะเป็นเพื่อนที่ดีของผม และพวกเขาทำงานเก่งมาก ๆ แต่มันก็ไม่เหมือนกับสิ่งที่ผมเคยทำ มันเหมือนกับว่าคงหมดยุคของผมไปแล้ว ผมรู้ว่ามันจะไม่เวิร์กอีกต่อไป และผมเองก็หงุดหงิดมาก เพราะผมเป็นคนจู้จี้จุกจิก ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร”
“ดังนั้น ผมจึงคิดว่าผมจะต้องละทิ้งสิ่งเหล่านั้น สนุกกับสิ่งที่ตัวผมมี เพื่อลูกสาวของผม เพื่อที่ผมจะได้เลี้ยงดูเธอ และได้เห็นเธอเติบโต นอกจากนั้น ผมอยากจะสร้างพิพิธภัณฑ์ที่ผมอยากทำมาโดยตลอด ผมเลยคิดว่า ถ้าผมไม่ทำตอนนี้ ผมก็คงไม่มีวันจะทำสำเร็จ”
“ผมใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตในการสร้าง Star Wars ขึ้นมา และการยอมแพ้มันก็เป็นอะไรที่น่าเจ็บปวดมาก ๆ แต่พอถึงเวลาที่ต้องทำ มันก็ต้องทำ เอาจริง ๆ ผมคิดว่าผมมีอะไรที่ยังต้องทำอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับ 3 ภาคถัดไปของ Star Wars ที่ผมได้เริ่มทำไปแล้ว แต่สุดท้าย พวกเขาก็ตัดสินใจว่าควรจะทำอีกแบบ สิ่งต่าง ๆ มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณต้องการเสมอไป และชีวิตมันก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ”