หลังจากที่สตูดิโอโปรดักชันชั้นนำของฮอลลีวูดอย่าง ลูคัสฟิล์ม (Lucasfilm) ได้มีการทำข้อตกลงขายกิจการให้กับ Disney ในเดือนตุลาคม ปี 2012 ด้วยมูลค่า 4,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 152,000 ล้านบาท สิ่งที่ ‘Star Wars’ และ Lucasfilm ภายใต้ร่มเงาของหนูยักษ์ Disney ต้องเผชิญอย่างหนักก็คือบรรดาคำวิจารณ์ที่ถาโถมโจมตีเป็นจำนวนมาก
ส่วนหนึ่งเป็นการวิจารณ์ถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารและทีมงานที่เหมือนกับว่าเอาจักรวาล ‘Star Wars’ ไปทำพังในหลาย ๆ ส่วน และอีกส่วนก็คงหนีไม่พ้นบรรดาแฟนคลับเป็นพิษ ที่มุ่งโจมตีตัวหนังในหลายจุด โดยเฉพาะเรื่องของสีผิว เชื้อชาติ เพศ หรืออื่น ๆ โดยเฉพาะการกล่าวโทษความล้มเหลวของตัวหนังที่เกิดจากการ Woke ของบรรดานักแสดงผิวสี หรือแม้แต่นักแสดงหญิง
ในบทสัมภาษณ์ล่าสุดของ The New York Times เลสลี เฮดแลนด์ (Leslye Headland) ครีเอเตอร์และผู้กำกับบางตอนของทีวีซีรีส์ ‘The Acolyte’ ซีรีส์สปินออฟจักรวาล Star Wars ที่จะเข้าฉายทาง Disney+ ในวันที่ 5 มิถุนายนที่จะถึงนี้ ซึ่งจะเป็นซีรีส์ที่เล่าย้อนกลับไปยังยุครุ่งเรืองของอัศวินเจได หรือที่เรียกว่ายุค High Republic ก่อนเหตุการณ์ใน ‘Star Wars: Episode I – The Phantom Menace’ (1999)
ซีรีส์เรื่องนี้นำแสดงโดย อีจองแจ (Lee Jung-jae) จากซีรีส์ ‘Squid Game’ (2021), อแมนด์ลา สเตนเบิร์ก (Amandla Stenberg), แมนนี จาคินโต (Manny Jacinto), ดาฟนี คีน (Dafne Keen), ชาร์ลี บาร์เน็ตต์ (Charlie Barnett), โจดี เทิร์นเนอร์-สมิธ (Jodie Turner-Smith) และแคร์รี-แอนน์ มอสส์ (Carrie-Anne Moss)
ด้วยความที่ซีรีส์เรื่องนี้ประกอบไปด้วยนักแสดงจากหลายเชื้อชาติ โดยเฉพาะสเตนเบิร์ก นักแสดงวัยรุ่นผิวดำที่ต้องรับบทนำ 2 ตัวละครฝาแฝด ทั้งโอชา (Osha) และเม (Mae) อดีตพาดาวัน รวมทั้งอีจองแจผู้รับบทเป็นปรมาจารย์เจได โซล (Sol) ที่เป็นชาวเกาหลีใต้ ทำให้แฟนคลับ Toxic บางคนใช้ความ Woke โจมตีซีรีส์เรื่องนี้ จนถึงขั้นมีการเรียกซีรีส์เรื่องนี้ว่า ‘The Wokelyte’ แม้ซีรีส์จะยังไม่ทันได้ฉายเลยด้วยซ้ำ
ในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา นักแสดงหญิงที่ร่วมแสดงในจักรวาล ‘Star Wars’ ในยุคสมัยของ Disney หลายคนต่างถูกแฟนคลับ Toxic รุมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ไล่ไปตั้งแต่เดซี ริดลีย์ (Daisy Ridley) ผู้รับบท เรย์ เด็กสาวลึกลับที่กลายมาเป็นเจไดใน Sequel Trilogy ที่เคยให้สัมภาษณ์ในเชิงกึ่ง ๆ ปลงตก ว่าตัวเธอเองไม่จำเป็นต้องอ่านคอมเมนต์ใด ๆ บนโลกออนไลน์ เพราะรู้อยู่แล้วว่ามีคอมเมนต์ในเชิง Toxic เกี่ยวกับตัวเธอ และบทบาทของเธออยู่ในนั้นมากมายอย่างแน่นอน
นักแสดงหญิงอีก 2 คนที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากบรรดาคอมเมนต์ Toxic ก็คือ เคลลี มารี ทราน (Kelly Marie Tran) นักแสดงชาวอเมริกันเชื้อสายเวียดนาม เจ้าของบท โรส ทีโค (Rose Tico) สมาชิกกลุ่มต่อต้านที่มีบทบาทใน ‘Star Wars: Episode VIII – The Last Jedi’ (2017) แต่หลังจากหนังเข้าฉาย เธอกลับโดนความเห็น Toxic รุมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนนำมาสู่การลดบทบาทของเธอลงใน ‘Star Wars: Episode IX – The Rise of Skywalker’ (2019) จนถึงขั้นต้องลบบัญชีโซเชียลมีเดียของตัวเอง
และโมเซส อินแกรม (Moses Ingram) นักแสดงผิวดำ ผู้รับบทเป็นอินควิซิเตอร์ เรวา (Inquisitor Reva) หรือ ‘ภคิณีที่สาม’ จากมินิซีรีส์ ‘Obi-Wan Kenobi’ (2022) ที่ถูกล้อเลียนและบุลลีอย่างหนักจากโลกออนไลน์หลังจากซีรีส์ออกฉาย จนกระทั่ง อีวาน แม็กเกรเกอร์ (Ewan McGregor) นักแสดงนำและโปรดิวเซอร์ของซีรีส์ต้องออกมาโจมตีแฟนคลับบางคนที่รุมวิพากษ์วิจารณ์เธอ
ในบทสัมภาษณ์เดียวกัน มีบทสัมภาษณ์สั้น ๆ ของแคธลีน เคนเนดี (Kathleen Kennedy) ประธานของ Lucasfilm ที่กล่าวว่าตัวเธอเอง รวมทั้งนักแสดงและทีมงานทุกคน ยังคงต้องเจอบรรดาคอมเมนต์ Toxic จากโลกออนไลน์มาโดยตลอด ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าแฟรนไชส์นี้ถูกครอบงำโดยฐานแฟนคลับที่เป็นผู้ชาย
“การจะดำเนินงานภายใต้แฟรนไชส์ที่ใหญ่ขนาดนี้ในตอนนี้ ด้วยโซเชียลมีเดีย และระดับความคาดหวังที่เกิดขึ้น มันเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก ๆ ค่ะ ฉันคิดว่าผู้หญิงจำนวนมากที่ก้าวเข้าสู่จักรวาล ‘Star Wars’ เองก็ยังคงต้องต่อสู้กับเรื่องนี้มาโดยตลอด และเลสลีเองก็ต่อสู้ในเรื่องนี้ด้วย”
“เพราะฐานแฟนคลับส่วนใหญ่ถูกครอบงำโดยผู้ชาย บางครั้งพวกเขาจึงมักจะถูกโจมตีในลักษณะที่ค่อนข้างส่วนตัว แต่ในความเชื่อของฉัน การเล่าเรื่องจำเป็นต้องเป็นตัวแทนสำหรับคนทุกคน นั่นจึงเป็นการตัดสินใจที่ง่ายมากสำหรับตัวฉันเอง”
ในขณะที่เฮดแลนด์ วัย 43 ปี ครีเอเตอร์และผู้กำกับ ที่เคยมีผลงานการเป็นครีเอเตอร์และกำกับซีรีส์ ‘Russian Doll’ (2019-2022) ของ Netflix มาแล้ว และถือเป็นครีเอเตอร์หญิงคนแรกของทีวีซีรีส์ ‘Star Wars’ ก็ยังถูกแฟนคลับ Toxic รุมโจมตีด้วยเช่นกัน
“มันเหมือนกับการทำงานที่ปลายคมหอกคมดาบเลยค่ะ ในขณะที่คุณกำลังคิดว่า ‘นี่คือสิ่งที่ผู้คนต้องการจาก ‘Star Wars’ นะ และนั่นคือสิ่งที่ผู้คนไม่ต้องการ’ มันอาจทำให้คุณถึงกับประสาทกินได้เลย ในระหว่างกระบวนการสร้างสรรค์ ในฐานะศิลปิน ฉันจึงต้องให้อภัยตัวเองเพื่อให้หลุดพ้นออกมาจากคมหอกคมดาบนั้น ตราบใดที่ยังมีคนสนับสนุนฉัน นั่นคือคำสัญญาที่ฉันให้ไว้กับตัวเอง”
“ในฐานะแฟนคลับ ฉันเองรู้ดีว่าการเล่าเรื่องของ ‘Star Wars’ บางเรื่องในอดีตมันช่างน่าหงุดหงิดขนาดไหน ฉันเองก็รู้สึกได้ค่ะ ฉันเองเลือกที่จะยืนหยัดอยู่ข้างแฟน ๆ ‘Star Wars’ แต่ฉันเองก็ต้องสร้างความชัดเจนด้วยว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่คลั่งในการเหยียดเชื้อชาติ หรือการปล่อย Hate Speech ออกมา…ฉันไม่นับว่าเขาเป็นแฟนคลับอย่างแน่นอน”