โทนี วินซิเกร์รา (Tony Vinciquerra) CEO ของ Sony Pictures Entertainment ได้กล่าวในระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทโซนี่ (Sony) ที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า บริษัทกำลังจะมุ่งเน้นในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้ในกระบวนการผลิตภาพยนตร์ เพื่อปรับปรุงคุณภาพในการผลิตและลดงบประมาณทุนสร้าง

ตามรายงานของ The Hollywood Reporter วินซิเกร์ราได้กล่าวในที่ประชุมว่า “ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในการสร้างภาพยนตร์ในปัจจุบันก็คือค่าใช้จ่าย เราจึงให้ความสำคัญกับ AI เป็นอย่างมาก เรากำลังพิจารณาในการหาวิธีใช้ AI เพื่อผลิตภาพยนตร์สำหรับโรงภาพยนตร์ และรายการโทรทัศน์ด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้ AI เป็นหลัก”

และประเด็นเกี่ยวกับข้อมติที่เกิดขึ้นหลังจากการประท้วงหยุดงานของ SAG-AFTRA และ WGA เมื่อปี 2023 วินซิเกร์รากล่าวว่า “ข้อตกลงที่เกิดขึ้นจากการนัดหยุดงานเมื่อปีที่แล้ว และข้อตกลงที่เกิดขึ้นจากการเจรจาของ IATSE สมาคมแรงงานภาพยนตร์และละครเวที – International Alliance of Theatrical and Stage Employees) และสหภาพแรงงานนานาชาติแห่งทีมสเตอร์ (International Brotherhood of Teamsters) จะถูกนำมาใช้กำหนดคร่าว ๆ ว่าเราสามารถทำอะไรด้วย AI ได้บ้าง”

เมื่อช่วงฤดูร้อนปี 2023 เกิดความวุ่นวายขึ้นในฮอลลีวูด เมื่อสมาชิกสหภาพแรงงานในฮอลลีวูด ตั้งแต่สหภาพแรงงานผู้เขียนบทภาพยนตร์และบทละครของสหรัฐฯ (Writers Guild of America – WGA) จนไปถึงการรวมตัวประท้วงของสมาชิกสมาคมนักแสดงภาพยนตร์และโทรทัศน์ (The Screen Actors Guild – SAG) และสหพันธ์ศิลปินโทรทัศน์และวิทยุแห่งอเมริกา (American Federation of Television and Radio Artists – AFTRA)

ทั้ง 3 สมาคมรวมตัวกันนัดหยุดงานประท้วงเป็นครั้งแรกในรอบหลายศตวรรษ เพื่อยื่นข้อเรียกร้องเกี่ยวกับแรงงานในฮอลลีวูดกับพันธมิตรผู้ผลิตภาพยนตร์และโทรทัศน์ (Alliance of Motion Picture and Television Producers – AMPTP) ที่ประกอบไปด้วยสตูดิโอเจ้าใหญ่ ๆ เกี่ยวกับประเด็นด้านสวัสดิภาพของแรงงาน โดยหนึ่งในประเด็นเหล่านั้นก็คือ การเพิ่มการคุ้มครองสิทธิ์ที่เกิดขึ้นจากการนำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้ในวงการ ตั้งแต่ขั้นตอนการเขียนบท จนถึงขั้นตอนด้านวิชวลเอฟเฟกต์ เช่นการสแกนหน้านักแสดงมาใช้ซ้ำได้ไม่จำกัด โดยไม่ได้รับความยินยอมและไม่ต้องจ่ายค่าจ้างหรือค่าชดเชยไปตลอดกาล

หลังสิ้นสุดการประท้วงที่กินระยะเวลายาวนานกว่า 118 วัน การโต้เถียงเกี่ยวกับศักยภาพและความเหมาะสมในการใช้ AI ในงานโปรดักชันและสื่อต่าง ๆ ยังคงเป็นประเด็นร้อนที่ยังมีการถกเถียงมาโดยตลอด มีการพบว่าสตูดิโอหลายแห่งมีการนำเอา AI มาใช้ รวมทั้งการที่ OpenAI ได้เปิดตัวโมเดลใหม่ที่มีชื่อว่า Sora ซึ่งเป็น AI ที่สามารถ Generative คลิปวิดีโอจากข้อความอธิบาย (Prompt) ให้กลายเป็นวิดีโอที่สมจริงได้ภายในไม่กี่นาที จนส่งผลให้หลายฝ่ายกลัวว่าอาจส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อบุคลากรในสายงานด้านภาพยนตร์และวิดีโอ

Late Night with the Devil

กรณีหนึ่งก็คือ มีผู้ชมส่วนหนึ่งค้นพบว่า หนังสยองขวัญ ‘Late Night with the Devil’ ที่ได้รับคำตอบรับและคำวิจารณ์ชื่นชมล้นหลาม ได้มีการแทรกภาพที่สร้างขึ้นด้วย Generative AI ภายหลัง คาเมรอน แคร์นส์ (Cameron Cairnes) และโคลิน แคร์นส์ (Colin Cairnes) ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ ได้ตอบโต้ประเด็นดังกล่าวกับ Variety ว่า มีการนำเอา Generative AI เพื่อสร้างภาพกราฟิกที่เป็นภาพนิ่งสำหรับใช้ในหนังเพียงแค่ 3 ภาพ และปรากฏให้เห็นในหนังเพียงสั้น ๆ

ซึ่งคล้ายกับกรณีที่มีผู้สังเกตเห็นความผิดปกติในรายละเอียดของภาพโปรโมตภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ‘Civil War’ ซึ่งเป็นภาพจินตนาการสภาพของบ้านเมืองในสหรัฐอเมริกาหลังเหตุสงครามกลางเมือง ที่ถูกเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียของสตูดิโอ A24 จนกระทั่งแหล่งข่าวคนหนึ่งของสตูดิโอได้ออกมายอมรับกับสื่อว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพที่สร้างขึ้นจากการใช้ Generative AI จริง ๆ

กรณีที่ก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างมากอีกกรณีก็คือ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา Netflix ได้ปล่อยภาพยนตร์สารคดีแนว True Crime เรื่อง ‘What Jennifer Did’ ที่บอกเล่าเหตุการณ์ของเจนนิเฟอร์ แพน (Jennifer Pan) หญิงเชื้อสายเวียดนาม-แคนาดาวัย 24 ปี และแฟนหนุ่ม ที่ร่วมกันว่าจ้างมือปืนให้สังหารพ่อและแม่ของตัวเองเพื่อหวังมรดกในปี 2010

โดยมีผู้สังเกตว่า ภาพที่อ้างว่าเป็นภาพอดีตของแพนที่ปรากฏในสารคดี มีความผิดปกติในหลาย ๆ จุด โดยเฉพาะบริเวณฟันและนิ้วมือของเธอ จนกระทั่งโปรดิวเซอร์ของสารคดีได้ออกมากล่าวว่า รูปถ่ายดังกล่าวเป็นของเธอจริง แต่มีการใช้ AI เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวให้กับแหล่งที่มาของภาพ ประเด็นดังกล่าวก่อให้เกิดการถกเถียงว่า นี่ถือเป็นการบิดเบือนเหตุการณ์และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสารคดี ที่ผู้ชมย่อมคาดหวังความเป็นจริงของข้อมูลมากกว่าหนังประเภทอื่น ๆ หรือไม่

มุมมองของคนทำงานในฮอลลีวูดที่มีต่อเทคโนโลยี AI ก็ต่างกันออกไปด้วย เจฟฟรีย์ แคตเซนเบิร์ก (Jeffrey Katzenberg) ผู้ก่อตั้งสตูดิโอ DreamWorks คาดการณ์ว่า AI จะช่วยเข้ามาลดต้นทุนของการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันได้มากถึง 90% โดยเฉพาะการลดต้นทุนด้านเวลาและบุคลากร ที่แต่เดิมต้องใช้เป็นจำนวนมาก ส่วนแคธลิน บริลฮาร์ต (Kathryn Brillhart) ผู้กำกับภาพ และ Visual Production Supervisor ของภาพยนตร์ ‘Rebel Moon’, ‘Black Adam’ (2022) และซีรีส์ ‘Fallout’ กล่าวว่า AI นั้นมีส่วนในการช่วยพัฒนาฝีมือและทักษะในสายงานได้เร็วขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา

madame web

ในขณะที่เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีการเปิดเผยการศึกษาสำรวจบุคลากรระดับหัวหน้าในอุตสาหกรรมบันเทิง 300 คน มีรายงานว่า 3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า เครื่องมือ AI นั้นเป็นตัวสนับสนุนให้มีการเลิกจ้าง ลดจำนวน และควบรวมงานในบริษัทของตนเอง โดยแรงงานที่มีความเสี่ยงเป็นพิเศษคือ นักพากย์ ศิลปินออกแบบคอนเซปต์ (Concept Artist) ทีมงานด้านวิชวลเอฟเฟกต์ และงาน Post-Production

The Hollywood Reporter รายงานว่า มูลเหตุที่ Sony พยายามนำเอา AI มาใช้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการดิ้นรนจากความล้มเหลวด้าน Box Office ที่ขาดทุน และคำวิจารณ์หนังที่ส่งผลเสียต่อภาพรวม ตั้งแต่ ‘Madame Web’ ที่ทำรายได้เท่าทุนสร้างที่ 100 ล้านเหรียญ เช่นเดียวกับเมื่อย้อนกลับไปตอนที่หนัง ‘Morbius’ เข้าฉายในปี 2022 ที่ทำรายได้ 170 ล้านเหรียญ ส่งผลให้แผนการพยายามจะปั้นแฟรนไชส์ใหม่ในจักรวาล Spider-Man ของ Sony ต้องล้มเหลว

หลังจากที่มีข่าวว่า CEO ของ Sony Pictures จะมีการนำเอา AI เข้ามาเป็นตัวช่วยในการสร้างหนังในอนาคต ที่จะช่วยลดงบประมาณทุนสร้าง ผู้ที่ออกมาตอบโต้กับเรื่องนี้แบบทันควันก็คือ คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ (Christopher Miller) โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์แอนิเมชันในจักรวาล ‘Spider-Man’ ของ Sony Pictures Animation ทั้ง ‘Spider-Man: Into the Spider-Verse’ (2018) ที่ได้รับรางวัลออสการ์ และภาคต่อ ‘Spider-Man: Across the Spider-Verse’ (2023) ได้ออกมายืนยันผ่านทาง X ส่วนตัวว่า จะไม่มีการนำเอา Generative AI มาใช้ในขั้นตอนการผลิตหนังภาคจบ ‘Spider-Man: Beyond the Spider-Verse’ ที่มีกำหนดฉายในปี 2025 เป็นอันขาด

“จะไม่มีการใช้ Generative AI ใน ‘Beyond the Spider-Verse’ และจะไม่มีวันทำแบบนั้น เป้าหมายหลักอย่างหนึ่งของหนังเรื่องนี้ คือการสร้างสไตล์ภาพแบบใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีสตูดิโอ CG ไหนเคยทำมาก่อน ไม่ใช่การใช้งานที่ขโมยมาจากศิลปินคนอื่น ๆ มาจนไม่มีแนวทางของตัวเอง”