แม้ว่าบทบาท วิลเลียม แบรนต์ (William Brandt) เลขาธิการของนายกรัฐมนตรี และนักวิเคราะห์ข่าวกรองของหน่วย IMF (Impossible Mission Force) ในแฟรนไชส์หนังแอ็กชันจารกรรม ‘Mission: Impossible’ ที่รับบทโดย เจเรมี เรนเนอร์ (Jeremy Renner) นักแสดงวัย 53 ปี จะเป็นบทสมทบที่คอยปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือเคียงข้างอีธาน ฮันต์ (Ethan Hunt) แต่บทบาทของเขาก็โดดเด่นเป็นที่จดจำ
แต่ก็น่าเสียดายที่ได้เห็นบทบาทของเขาเพียงสั้น ๆ ใน ‘Mission: Impossible – Ghost Protocol’ (2011) และ ‘Mission: Impossible – Rogue Nation’ (2015) ก่อนที่บทบาทนี้จะหายไปใน ‘Mission: Impossible – Fallout’ (2018) ด้วยเหตุผลที่ช่วงนั้นเขาต้องกลับไปรับบท Hawkeye ใน ‘Avengers: Infinity War’ (2018) และ ‘Avengers: Endgame’ (2019) และต้องการกลับไปทำหน้าที่พ่อของลูกสาว เอวา เบอร์ลิน เรนเนอร์ (Ava Berlin Renner)
อีกเหตุผลที่ทำให้เรนเนอร์ปฏิเสธไป เพราะแต่เดิม คริสโตเฟอร์ แม็กควอรี (Christopher McQuarrie) ต้องการจะให้เรนเนอร์กลับมารับบท Cameo สั้น ๆ ใช้เวลาถ่ายทำไม่กี่วันในภาค ‘Fallout’ ก็คือการวางเรื่องราวให้ตัวละครสมาชิกหน่วย IMF ตายลงในระหว่างปฏิบัติการ แต่ตัวละครทั้งเบนจี และลูเธอร์ต่างก็เป็นตัวละครสำคัญที่เคียงข้างฮันต์มาตั้งแต่ภาคแรก สุดท้ายผู้กำกับจึงมีไอเดียวางเรื่องให้แบรนต์ถูกสังหารในปฏิบัติการแทน
เรนเนอร์ได้มีโอกาสขยายความเกี่ยวกับบทบาทของเขาจากแฟรนไชส์นี้อีกครั้งในบทสัมภาษณ์ล่าสุดของพอดแคสต์ ‘Happy Sad Confused’ ที่เขาได้ปฏิเสธข้อเสนอของแม็กควอรี ที่ต้องการให้เขามาเข้ากองถ่าย 1 สัปดาห์เพื่อถ่ายทำฉากเหล่านั้น และทำให้เรนเนอร์เลือกที่จะปฏิเสธไปในที่สุด
“ผมจำได้ว่า พวกเขาต้องการจะพาผมไปต่างประเทศเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อที่จะฆ่าตัวละครของผมทิ้ง ผมก็เลยบอกว่า ‘ไม่ คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะ คุณจะลากผมไปที่นั่นแล้วฆ่าตัวละครของผมแบบนั้นไม่ได้เลยนะ ไปให้พ้นเลย ! ถ้าคุณจะใช้ตัวละครของผมและทำแบบนั้น คุณก็ต้องทำให้มันถูกต้องกว่านี้สิ'”
“ผมนี่ถึงกับตะโกนใส่ (ผู้กำกับ) เลยนะ” (หัวเราะ) “ผมบอกว่า ‘เพื่อน คุณจะไม่ทำแบบนี้กับผมนะ คุณจะไม่ทำผิดแบบนั้นเด็ดขาด'”
ซึ่งแม็กควอรีก็เคยออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่ตอนนั้นเขาเลือกที่จะอธิบายกับสื่อด้วยเหตุผลที่เรนเนอร์มีตารางงานชนกับหนัง MCU ที่ถูกวางคิวไปก่อนแล้ว เขาจึงเลือกที่จะตัดตัวละครตัวนี้ออกไป
“เจเรมีมีความมุ่งมั่นต่อ Avengers มาก ๆ ครับ และตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าภาคที่ 6 (Fallout) เป็นแบบไหนด้วย เราเลยล็อกตารางงานไม่ได้ ผมเลยบอกกับเขาไปว่า ‘เฮ้ ฟังนะ ผมมีไอเดียตอนซีเควนซ์เปิดเรื่องที่คุณต้องเสียสละตัวเองเพื่อช่วยทีมน่ะ เพราะว่าภารกิจผิดพลาด ไม่ใช่แค่สูญเสียพลูโตเนียม แต่รวมถึงการเสียชีวิตของสมาชิกในทีมด้วย’ เจเรมีฟังแล้วก็บอกว่า ‘ขอบคุณนะ แต่ผมไม่เอาด้วยดีกว่า’ ซึ่งผมคิดว่าเขาคิดถูกแล้วแหละที่เลือกจะไม่ถ่ายงานแค่ 3 วัน โดนสังหาร รับเงินนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็กลับบ้าน”
อีกเรื่องที่เขาได้พูดคุยเกี่ยวกับบทบาทนี้ก็คือ ตอนช่วงที่ภาค ‘Rogue Nation’ เข้าฉาย โรเบิร์ต เอลส์วิต (Robert Elswit) ผู้กำกับภาพของแฟรนไชส์นี้ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า สตูดิโอ Paramount Pictures ได้เตรียมแผนสำรองเอาไว้ นั่นก็คือการวางบทบาทของวิลเลียม แบรนต์ ให้เป็นตัวตายตัวแทนของอีธาน ฮันต์ ด้วยการเลื่อนขั้นให้แบรนต์กลายเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของ IMF เป็นผู้นำทีมปฏิบัติการต่อไป และเลื่อนให้ฮันต์ขึ้นไปเป็นหัวหน้าของหน่วย IMF แทน
แผนการเหล่านี้เป็นไปเพราะต้องการเตรียมการไว้ล่วงหน้า ในกรณีที่ตัวหนังไม่ทำเงินอีกต่อไปเหมือนกับ 3 ภาคก่อนหน้า หรือแม้แต่กรณีที่ทอม ครูซ (Tom Cruise) ต้องการวางมือจากบทบาท อีธาน ฮันต์ แต่สุดท้ายแฟรนไชส์ก็ยังคงทำรายได้ Box Office ทั่วโลกได้อย่างน่าพอใจ (ภาค ‘Ghost Protocol’ ทำรายได้ 694 ล้านเหรียญ, ภาค ‘Rogue Nation’ ทำรายได้ 682 ล้านเหรียญ) และแน่นอนว่า ครูซเองก็ยังคงรับบท อีธาน ฮันต์ อีกบทบาทที่สร้างชื่อให้กับเขา เหมือนเช่นทุก ๆ ภาคมาจนถึงปัจจุบัน
แม้ข่าวลือนี้จะมาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ แต่เรนเนอร์เองก็เปิดเผยว่าข่าวลือนั้นไม่เคยเป็นความจริง และนั่นอาจหมายรวมไปถึงว่า เขาเองอาจไม่ได้สนใจที่จะขึ้นมารับงานปฏิบัติการเป็นไปไม่ได้เหมือนกับที่ครูซยืนหยัดมาตลอดกว่า 30 ปี
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ หนังเรื่องนี้มันเป็นของทอมมาโดยตลอด และนั่นก็จะเป็นการตัดสินใจของทอมเอง ถ้าเขาต้องการจะเปลี่ยนการเล่าเรื่องไป เมื่อเขาแข็งแกร่งขึ้นในฐานะนักแสดง เขาก็อยากที่จะยึดมั่นกับบทบาทที่เขาคุ้นเคย”
“แน่นอนว่าเขาคงอยากรับบทใน ‘Top Gun’ ใช่ไหมล่ะครับ ? เขากำลังจะรีบูตมันใหม่อีกรอบ และตอนนี้ในชีวิตเขาก็คงอยากจะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจ ผู้ชายคนนี้เป็นสัตว์ร้าย แล้วก็ทำงานหนักกว่าใคร ๆ ที่ผมรู้จักซะอีก”