Release Date
02/06/2024
แนว
สงคราม, ประวัติศาสตร์, สัตว์ประหลาด
ความยาว
124 นาที
เรตผู้ชม
PG-13
ผู้กำกับ
ทาคาชิ ยามาซากิ
Our score
9.1[รีวิว] Godzilla Minus One – บาดแผลหลังสงครามที่ถูกซ้ำเติมด้วยฝันร้าย
จุดเด่น
- ตัวหนังเล่าถึงประวัติศาสตร์ช่วงญี่ปุ่นแพ้สงคราม ทำให้การเอาชนะคือชาเลนจ์ที่ทำให้เราเอาใจช่วยตัวละคร
- บทมนุษย์กระจายได้ดีมาก แม้แต่ตัวประกอบก็ยังมีความสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเรื่องราว
- โกจิระเวอร์ชัน CG เต็มเรื่องครั้งแรกของญี่ปุ่น ที่ถึงแม้จะแปลก แต่ก็มอบชีวิต และความน่าสะพรึงกลัวให้
- มินามิ ฮามาเบะน่ารักมากกกกก
จุดสังเกต
- ญี่ปุ่นยังเอกลักษณ์ความโอเวอร์แอคติ้งเล่นใหญ่อยู่ อาจทำให้คนที่ไม่ชอบจะรู้สึกขัดหู
- CG ของพี่ก็อดดีก็จริง แต่ว่าด้วยงบประมาณที่น้อย ช่วงฉากสว่างก็อาจมีจุดที่ไม่เนียนบ้าง
- ภาคนี้ควรได้ดูในโรง แต่กลับฉายลงสตรีมมิ่ง ซึ่งถ้าบ้านใครมีจอใหญ่ แนะนำเปิดผ่านโปรเจกต์เตอร์ดีกว่า เพราะจะได้อารมณ์กว่ามาก ๆ
-
คุณภาพด้านการแสดง
8.0
-
คุณภาพโปรดักชัน
9.0
-
คุณภาพของบทภาพยนตร์
9.5
-
ความบันเทิง
10.0
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
9.0
ตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา สิ่งหนึ่งที่คอหนังจะสังเกตเห็นได้ชัดคือ โลกภาพยนตร์กำลังเข้าสู่ศักราชใหม่ของ Godzilla โดยในฟากฮอลลีวูดนั้นก็มีพี่หมีที่คอยฟัดกับเหล่าไททันพร้อมกันกับเจ้าคอง ซึ่งด้วยความเป็นคู่หูตะลุย Hollow Earth นั้นก็อาจทำให้คนลืมไปว่าแท้จริงแล้ว Godzilla ไม่ใช่ฮีโร่ และไม่เคยเป็น
Godzilla หรือ Gojira คือไคจูที่เป็นตัวแทนของพลังอันน่าสะพรึงกลัวแห่งธรรมชาติ มันเป็นภัยคุกคามของมนุษย์ ซึ่งดูเหมือนว่าในยุคใหม่ของ Godzilla นั้นทางญี่ปุ่นได้พยายามพามันกลับไปสู่รากเหง้าเดิม ไล่ตั้งแต่ Shin Godzilla, ไตรภาคแอนิเมชัน Godzilla: Planet of the Monsters, อนิเมะ Godzilla Singular Point และล่าสุดอย่าง Godzilla Minus One ก็เช่นกัน เพราะ Godzilla ในหนังเรื่องนี้คือตัวแทนแห่งฝันร้าย ที่ซ้ำเติมญี่ปุ่นให้พินาศไปกว่าเดิม
Godzilla Minus One เล่าถึงช่วงเวลาที่ใกล้สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนั้นนักบินกามิกาเซ่ โคอิจิ ชิกิชิมะ ได้นำเครื่องบินลงจอดที่ฐานทัพญี่ปุ่นบนเกาะโอโดะเพราะปัญหาทางเทคนิค ทว่าความจริงแล้วชิกิชิมะกลัวตาย และพยายามจะหนีทัพ โดยในคืนนั้นก็ได้มีสิ่งมีชีวิตคล้ายไดโนเสาร์ขนาดใหญ่เข้าโจมตีกองทหารรักษาการณ์บนเกาะที่ชิกิชิมะอยู่ ซึ่งชิกิชิมะดันเป็นผู้รอดชีวิตไม่กี่คนบนเกาะนั้น
หลังสิ้นสุดสงคราม ชิกิชิมะก็กลับมาที่บ้าน และก็ได้อุปการะโนริโกะ โออิชิ หญิงสาวที่พ่อแม่เสียชีวิตจากเหตุระเบิด พร้อมด้วยทารกกำพร้าอากิโกะ ซึ่งโนริโกะช่วยเหลือไว้ โดยชิกิชิมะ ก็ได้งานใหม่เป็นคนเก็บกวาดทุ่นระเบิดจากสงครามโลกครั้งที่สอง
ในขณะที่กำลังเก็บกวาดทุ่นระเบิดชิกิชิมะก็ได้เผชิญหน้าเข้ากับ Godzilla อีกครั้ง และครั้งนี้มันมีขนาดมหึมามากกว่าเดิม อันเนื่องมาจากการกลายพันธ์ุเพราะระเบิดนิวเคลียร์ ซึ่ง Godzilla ก็ได้พกความแค้นมาเต็มพิกัด โดยหมายมั่นที่จะล้างบางมนุษย์ให้จมดิน ซึ่งสถานที่แรกที่มันบุกเข้ามาก็คือญี่ปุ่น ประเทศที่เพิ่งฟื้นตัวจากความพินาศหลังสงครามโลก
Godzilla Minus One มีจุดเด่นคือการผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์ สัตว์ประหลาด และการเสียดสีทางการเมืองไว้ได้ด้วยกันอย่างดี เพราะในขณะที่หนังไคจูเรื่องอื่น ๆ พยายามจะเล่าถึงยุคปัจจุบัน แต่ Godzilla Minus One กลับพาเราย้อนเวลา เพื่อสะท้อนภาพในอดีต ที่ทำให้เห็นว่าคนดูในยุคปัจจุบันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเวลานั้นเลย โดยหนังวิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมือง ราชการ และการจัดการวิกฤต ซึ่งเอาเข้าจริงคนที่ดูแล้วรู้สึกแสบ ๆ คัน ๆ นี่น่าจะเป็นประเทศแถวนี้มากกว่าญี่ปุ่นซะด้วยซ้ำ
ผู้กำกับทาคาชิ ยามาซากิ (Takashi Yamazaki) พาเราเจาะลึกเข้าไปสำรวจญี่ปุ่นหลังได้แบบเห็นภาพ เพราะเราจะพบว่าตัวละครในเรื่อง ไม่เพียงแต่ทนทุกข์จากบาดแผลของสงคราม แต่ยังต้องแบกรับบาดแผลจาก Godzilla ที่สร้างความปวดร้าวใจให้พวกเขามากกว่าเดิม
แม้ว่าไคจูอย่าง Godzilla จะเป็นไฮไลต์ของหนังอยู่แล้ว แต่จุดแข็งของ Godzilla ฝั่งญี่ปุ่นก็คือเนื้อเรื่องในพาร์ตของมนุษย์ที่ค่อนข้างลึกซึ้ง และน่าค้นหา ซึ่งต่างจากฝั่ง MonsterVerse พอสมควรที่ เราจะเห็นเลยว่ามนุษย์เป็นเพียงไม้ประดับ เพราะคนดูมาเพื่อดูยักษ์ซัดกันเท่านั้น
เราจะเห็นว่าชิกิชิมะ ไม่ใช่ฮีโร่เหมือนหนังเรื่องอื่น เขาเป็นแค่ทหารหนีทัพที่ใจไม่กล้า นอกจากนั้นแล้ว ตัวละครมากมายเองก็เป็นคนที่ได้รับความบอบช้ำทางจิตใจจากสงคราม ซึ่งการจะลุกขึ้นสู้กับ Godzilla จึงถือเป็นเรื่องยากสำหรับผู้คนในเรื่อง
ความฉลาดของบทคือมันจะมีส่วนที่คล้ายคลึงกับจุดดีของหนัง Shin Godzilla นั่นคือการที่มนุษย์ต้องตัดทิฐิของตัวเองออกไป ร่วมมือร่วมใจเพื่อกำจัดไคจูตัวนี้ ทว่าชาเลนจ์ของงานนี้คือจะทำอย่างไรถึงจะกำจัดไคจูได้ ในยุคที่ไม่มีทั้งเทคโนโลยี และญี่ปุ่นเองก็ถูกรีเซตจากสงคราม ฉะนั้นแล้วการดิ้นรนของตัวละครจึงสะท้อนกับเรื่องราวที่ใหญ่กว่า ในแง่ของประเทศที่ถูกบังคับให้ต้องเตรียมพร้อมรบ ในวันที่ไม่มีอะไระเสีย
การพัฒนาตัวละครของชิกิชิมะก็ถือว่าดีมาก เพราะแรกเริ่มเขาเป็นเพียงทหารหนีทัพ เป็นแค่คนธรรมดาที่ได้รับความบอบช้ำทางจิตใจจากสงคราม ทว่าความเจ็บปวด จากการสูญเสียคนสำคัญก็ทำให้เขาคิดได้จนเข้าประจันหน้ากับ Godzilla เพื่อทำให้สงครามของตนจบลงจริง ๆ เสียที ซึ่งสิ่งนี้คือการเดินทางที่ไม่ใช่จะหวังให้ตนชนะแล้วกลายเป็นฮีโร่ แต่คือการเดินทางเพื่อไถ่บาป และเอาชนะตัวตนในอดีต
Godzilla ในภาคนี้คือการเปลี่ยนผ่านจากชุดยาง มาเป็น CG เต็มรูปแบบครั้งแรกของญี่ปุ่น โดยผู้กำกับทาคาชิ ยามาซากิ ที่พ่วงตำแหน่งผู้กำกับสเปชียลเอฟเฟกต์ด้วยอีกที ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดที่ได้รับคำชมมหาศาลในหนังเรื่องนี้ เพราะแม้ว่าจะตัดเมืองปลอมกับชุดยางออกไป แต่ Godzilla ก็มีชีวิตชีวามากกว่าเดิม ยิ่งฉากที่แหวกว่ายผิวน้ำ และยืนตระหง่านกลางเมืองก็ทำให้เรารู้เลยว่านี่คือการเพิ่มจิตวิญญาณให้ไคจูตัวนี้มันมีชีวิตมากขึ้น
และถ้าหากใครที่สงสัยว่า บางฉากที่ CG ก็ดูลอย แถมงานยังไม่ละเอียดเท่าของ MosterVerse แต่ทำไมภาคนี้กลับได้รับคำชมอย่างล้นหลาม นั่นก็เพราะว่าเทคนิคพิเศษในหนังเรื่องนี้ ทำงานด้วยคนไม่กี่คน และมีงบประมาณที่น้อยกว่า 15 ล้านเหรียญซะอีก ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นซีจี Godzilla ที่มาจากแพสชันล้วน ๆ จนสามารถสร้างเทคนิคตระการตาในงบอันน้อยนิดได้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไม Godzilla Minus One ถึงสามารถคว้ารางวัลออสการ์สาขาเทคนิคพิเศษไปครอง
ท้ายที่สุดแล้ว แม่ว่าญี่ปุ่นจะแพ้สงคราม แม้ว่าหนังจะไม่ได้ฉายในวงกว้าง แต่ Godzilla Minus One ก็ถือเป็นชัยชนะของภาพยนตร์ไคจูยุคใหม่ มันประสบความสำเร็จในการสร้างภาพจำที่แตกต่างจากฉบับฮอลลีวูด ในขณะเดียวกัน ก็ยังสามารถสะท้อนไปถึงรากเหง้าดั้งเดิมของราชันสัตว์ประหลาด ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า แม้จะผ่านไปกว่าหกสิบปี แต่ Godzilla ก็ยังคงสามารถดึงดูดผู้คน รวมถึงสร้างความน่าตื่นตาให้โลกภาพยนตร์ได้อยู่เสมอ