นอกจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่หนังฟอร์มยักษ์ระดับตำนานอย่าง ‘Titanic’ (1997) ผลงานชิ้นเอกจากวิสัยทัศน์ของ เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ที่ได้สร้างเอาไว้เมื่อกว่า 26 ปีที่แล้ว จนกลายเป็นตำนานที่สามารถรั้งอันดับบนตารางหนังที่ทำเงินทั่วโลกสูงที่สุดตลอดกาล ซึ่ง ณ เวลานี้ยังคงรั้งอยู่ที่อันดับ 4 หลังจากถูกหนังอีกเรื่องของคาเมรอนอย่าง ‘Avatar: The Way of Water’ (2022) แซงหน้าไปแล้ว รวมทั้งยังเป็นเจ้าของสถิติเป็น 1 ในหนัง 3 เรื่องที่ได้รับรางวัลออสการ์มากที่สุดตลอดกาลถึง 11 สาขา
1 ในปัจจัยแห่งความสำเร็จก็คงหนีไม่พ้นคู่พระนาง ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio) เจ้าของบท แจ็ก ดอว์สัน (Jack Dawson) และ เคต วินสเลต (Kate Winslet) ผู้รับบท โรส เดวิต บูเคเตอร์ (Rose DeWitt Bukater) ที่เปลี่ยนสถานะให้ทั้งคู่กลายเป็นคู่ขวัญ ‘แจ็ก-โรส’ และกลายเป็นนักแสดงซูเปอร์สตาร์ (รวมถึงเจ้าของรางวัลออสการ์) ในเวลาต่อมา และยังกลายเป็นนักแสดงหนุ่มสาวในฝันของใครหลาย ๆ คนที่เคยอยากมีโมเมนต์โรแมนติก (ท่ามกลางโศกนาฏกรรม) แบบนั้นบ้าง
วินสเลต วัย 48 ปี นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์จาก ‘The Reader’ (2008) ได้มีโอกาสย้อนดูผลงานสำคัญในชีวิตการแสดงของเธออีกครั้งในช่อง YouTube ของ Vanity Fair รวมทั้งฉากที่แจ็กพาโรส ‘บิน’ ด้วยการยืนกางแขน ก่อนจะโอบกอดและจุมพิตกันบนหัวเรือไททานิก ซึ่งเธอได้มีโอกาสเล่าถึงเบื้องหลังสุดวุ่นวายที่ไม่ได้โรแมนติกเหมือนเบื้องหน้า และการจูบกับพ่อหนุ่มลีโอก็ไม่ได้เป็นจูบในฝันเหมือนที่สาว ๆ จินตนาการถึง
“พระเจ้า…เขาดูโรแมนติกมาก ๆ เลยใช่ไหมล่ะ ? ไม่แปลกใจเลยนะที่เด็กสาวทุกคนในโลกอยากจะถูกลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอจูบน่ะ แต่ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังไว้หรอกนะ”
“ตอนนั้นเราต้องจูบกันไปเรื่อย ๆ แล้วฉันเองต้องเมกอัปแบบบางมาก ๆ ฉันเลยต้องคอยตรวจสอบการแต่งหน้าทั้งของฉันและเขาในระหว่างที่หยุดพัก แล้วสภาพของฉันในการถ่ายแต่ละเทกนี่อย่างกับเพิ่งไปดูดแท่งช็อกโกแลตคาราเมลมาอย่างนั้นแหละ เพราะว่ารองพื้นของเขาหลุดมาติดที่ฉัน สภาพเขาเลยเหมือนมีใบหน้าบางส่วนแหว่งไป แล้วก็มีรองพื้นปื้นใหญ่ ๆ ของฉันหลุดไปติดที่เขาด้วย พระเจ้า มันโคตรจะเละเทะเลย”
ประสบการณ์วุ่นวายไม่ได้มีแค่การแต่งหน้าเท่านั้น แต่วินสเลตยังเล่าเพิ่มเติมอีกว่า ตอนถ่ายทำ เข่าของเธอถูกกระแทกเข้ากับรั้วกั้นหัวเรือบ่อยครั้ง และต้องถ่ายทำกันอยู่หลายเทกกว่าจะออกมาเป็นฉากโรแมนติกที่สมบูรณ์แบบ
“(ดูคลิปจบ) มันเป็นอะไรที่ดูแย่มากเลย ฉันดูฉากนี้ทีไรแล้วรู้สึกหายใจไม่ออก เพราะคอร์เซต (Corset) ตัวนั้นมันโคตรจะรัดเลย ตอนที่ถ่ายฉากนี้มันเป็นฝันร้ายเหมือนกันนะ เพราะลีโอก็หยุดหัวเราะไม่ได้ และเราก็ต้องถ่ายทำกันใหม่ถึง 4 รอบ เพราะจิมอยากได้แสงแบบที่เฉพาะเจาะจงมาก ๆ สำหรับฉากนี้ แล้วเห็นได้ชัดเลยว่าพระอาทิตย์ตกดินมันทำให้แสงเปลี่ยนไปตามจุดที่เราถ่ายทำ”
เท่านั้นยังไม่พอ ด้วยการถ่ายทำที่ต้องถ่ายในฉากเรือไททานิกจำลองที่คาเมรอนสั่งให้เนรมิตขึ้น ทำให้การเข้าถึงช่างแต่งหน้าให้คอยเติมแต่งแก้ไขใบหน้าระหว่างถ่ายทำแต่ละเทกจึงเป็นไปได้ยากลำบาก
“มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของหัวเรือน่ะค่ะ มันไม่ได้เป็นส่วนของฉากตัวเรือทั้งลำอย่างที่เรามี เวลาถ่ายทำ เราเลยต้องปีนบันไดขึ้นไปถ่าย ช่างทำผมกับช่างแต่งหน้าก็เลยเข้ามาหาเราไม่ได้ สิ่งที่คุณไม่รู้ก็คือ ลีโอดูเป็นธรรมชาติมาก ๆ แต่เห็นแบบนั้น แต่เขาก็ต้องนอนเตียงอาบแดด และใช้เครื่องสำอางเพื่อทำผิวแทนแบบปลอม ๆ เยอะมาก”
“เพราะฉะนั้น ฉันเลยต้องซ่อนเครื่องสำอาง แปรง กับฟองน้ำของเขา (ลีโอ) ไว้ที่เสื้อ (ทำท่าล้วงเสื้อทั้งซ้ายและขวา) และของฉันไว้ (ที่เสื้อ) อีกด้านหนึ่ง แล้วฉันก็ค่อยหยิบมาเติมระหว่างเทกอยู่ตลอดเวลา”
อีกคนที่ยืนยันถึงความไม่โรแมนติกของฉากจุมพิตในหนังเรื่องนี้ก็หนีไม่พ้นดิแคพรีโอ ทั้งคู่เคยให้สัมภาษณ์ในปี 2005 วินสเลตเล่าว่า เขาเองก็ ‘เกลียด’ ฉากจูบนี้ไม่แพ้กัน เธอเล่าว่าเขาจะบ่นแบบท้อแท้เสมอในระหว่างถ่ายทำ โดยเฉพาะการที่ทั้งคู่ใช้รองพื้นคนละเบอร์ ทำให้เวลาเข้าฉากจูบ ใบหน้าของทั้งคู่จึงมักจะเลอะรองพื้นจนต้องคอยทารองพื้นใหม่ซ้ำไปซ้ำมา
ก่อนจะกลายมาเป็นคู่ขวัญชู้รักเรือล่ม ทั้งวินสเลตและดิแคพรีโอในช่วงวัยรุ่น ต่างก็เคยมีผลงานการแสดงกันมาบ้างแล้ว แต่ทั้งคู่ไม่เคยเจอกันมาก่อนเลย แต่ในหนังสือเบื้องหลังของหนังเรื่องนี้ ฉากแรกที่ทั้งคู่ต้องถ่ายทำร่วมกันก็คือฉากที่โรสเปลือยกายเป็นแบบให้แจ็กวาดรูป และเพื่อต้องการละลายพฤติกรรมให้เคมีเข้ากันอย่างรวดเร็ว วินสเลตเลือกใช้วิธีการเปลือยกายต่อหน้านักแสดงหนุ่ม และวิธีการนี้ก็ได้ผล
“ตอนที่ฉันเริ่มทำงานกับลีโอครั้งแรก พวกเราหาจุดที่คลิกกันได้ และเมื่อย้อนกลับไปมันก็น่าทึ่งมาก เมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงเวลานั้น ตอนนั้นเขาเป็นเด็กหนุ่มผอม ๆ แขนขาเก้งก้าง แล้วเขาก็ดูสบาย ๆ มีพลัง และมีความร่าเริงที่น่าดึงดูดใจจริง ๆ ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันคิดว่า ‘น่าจะสนุกนะ พวกเราน่าจะเข้ากันได้ดีแน่ ๆ’ และมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ”
ตัวหนังกลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตให้ทั้งวินสเลตและดิแคพรีโอกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่มีผลงานอันโดดเด่นมากขึ้น ดิแคพริโอกลายเป็นนักแสดงแถวหน้าฝีมือดีอีกคนของวงการ ส่วนวินสเลตเริ่มชิมลางด้วยการหันไปรับงานหนังนอกกระแสสลับกับหนังใหญ่ ก่อนจะกลับมาเจอกันอีกครั้งในหนัง ‘Revolutionary Road’ (2008) แม้ทุกวันนี้ทั้งคู่จะมีชื่อเป็นนักแสดงรางวัลออสการ์ แต่ทั้งคู่ก็ยังคงเป็นคู่ขวัญของฮอลลีวูดที่หลายคนแอบเชียร์ให้ทั้งคู่ปิ๊งกันนอกจอ แต่ในชีวิตจริงทั้งคู่ยังคงเป็นเพื่อนที่สนิทสนมมาตลอดจนถึงปัจจุบัน
จากความพยายามอันหนักหน่วงที่ทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอย่างคุ้มค่า วินสเลตเผยถึงความรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมกับหนังเรื่องนี้ “ฉันเองรู้สึกภูมิใจกับหนังเรื่องนี้มาก ๆ ค่ะ เพราะฉันรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้จะมอบความสุขแก่คนรุ่นต่อ ๆ ไปที่ค้นพบหนังเรื่องนี้หรือได้ดูเป็นครั้งแรกอย่างไม่มีวันจบสิ้น และนั่นมันเป็นสิ่งที่พิเศษมาก ๆ”
แม้ฉากกางแขนบนหัวเรือจะกลายมาเป็นฉากไอคอนิกในตำนานของหนังเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ฉากเดียวกันนี้ก็ทำให้วินสเลตต้องลำบากไม่น้อย เพราะเธอมักจะถูกแฟน ๆ ร้องขอให้เธอแสดงฉากนี้ทุกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าตอนที่เธอมีโอกาสขึ้นเรือ
“…มันทำให้ฉันปวดหัวมากเลย ทุกครั้ง ไม่เคยมีครั้งไหนที่ไม่มีคนขอ (ผู้สัมภาษณ์: “แล้วคุณได้ทำให้เขาดูไหมคะ ?) …ก็ทำบางครั้งนะ แต่บางครั้งก็ไม่”