นับได้ว่าตอนนี้ถือเป็นโค้งสุดท้ายแล้ว ก่อนที่แฟนหนังซูเปอร์ฮีโรทั่วโลกจะได้ประจักษ์กับหนังที่รอคอยและคาดหวังมากที่สุดอย่าง ‘Deadpool & Wolverine’ ที่มีกำหนดฉายในวันที่ 24 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ แน่นอนว่าแฟน ๆ ย่อมคาดหวังกับหนังเรื่องนี้สูงมาก เพราะนอกจากจะเป็นหนังเรต R เรื่องแรกที่ถูกตั้งความหวังว่าจะเป็นตัวมากอบกู้ MCU และ Marvel Studios ให้พ้นจากวิกฤติขาลงของหนังซูเปอร์ฮีโรในรอบหลายปีที่ผ่านมาได้เสียที
แต่แน่นอนว่าการนำเวด วิลสัน (Wade Wilson) หรือเดดพูล (Deadpool) กลับมาปะทะกับวูล์ฟเวอรีน (Wolverine) นั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย เพราะไรอัน เรย์โนลส์ (Ryan Reynolds) ในฐานะนักแสดงนำและโปรดิวเซอร์ผู้ดูแลโปรเจกต์ที่เคยปักหมุดความสำเร็จเอาไว้อย่างงดงาม และผู้กำกับ ชอว์น เลวี (Shawn Levy) เคยเกือบจะทิ้งนักสังหารปากแจ๋วเอาไว้กลางทาง จนกระทั่งการมาถึงของ ฮิว แจ็กแมน (Hugh Jackman) ที่กลับมาอีกครั้งพร้อมกับกรงเล็บเหล็ก
เรย์โนลส์ แจ็กแมน และเลวี ได้ให้สัมภาษณ์เล่าถึงเบื้องหลังกว่าจะมาเป็น ‘Deadpool & Wolverine’ กับนิตยสาร Vanity Fair ตั้งแต่การทำงานท่ามกลางความคาดหวังจากการที่ 2 ภาคแรกประสบความสำเร็จอย่างสูง การเปลี่ยนผ่านหลังจาก Disney เข้าซื้อกิจการ 20th Century Fox โดยสมบูรณ์ในปี 2019 และไหนจะเรื่องบทที่ต้องใช้เวลาเฟ้นหานานมากจนต้องเปลี่ยนมือคนเขียนบทหลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งไอเดียการชวนแจ็กแมนกลับมาสวมกรงเล็บเหล็กอีกครั้ง
เรย์โนลส์เปิดใจเล่าถึงความรู้สึกติดค้างของเขา ที่นำไปสู่การตัดสินใจออกแรงเข็นโปรเจกต์หนัง Deadpool ภาคใหม่อีกครั้ง เพราะเขาเองผูกพันกับคาแรกเตอร์สร้างชื่อนี้อย่างมากจนไม่อาจจะละทิ้งไปได้ง่าย ๆ
“ผมรู้สึกเหมือนว่าผมเองติดหนี้ทางจิตวิญญาณอยู่อีกภาคหนึ่งน่ะครับ แต่การพยายามว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน และจะเกิดขึ้นได้ยังไง มันใช้เวลานานมาก มันเลยเป็นเหตุผลที่ใช้เวลาห่างจากภาคที่แล้วนานถึง 6 ปี หนังเรื่องนี้มันกลืนกินไปทั้งชีวิต”
“คือถ้าเป็นหนังปกติ คุณก็ต้องทำงานหนักมาก ๆ นั่นแหละ แต่กับหนังแบบนี้ คุณต้องยอมสละหลายสิ่งที่เป็นเรื่องปกติไป ทั้งการนอน การได้อยู่กับครอบครัว การเป็นตำนานของคุณพ่อ มันมีการเสียสละมากมาย ที่ผมจะบอกคือ พวกนี้มันเป็นปัญหาของคนที่มีชีวิตดี ๆ อยู่แล้ว ในขณะที่ตัวผมมีความสัมพันธ์ที่เข้มข้นกับตัวละครและโลกที่ตัวละครเหล่านั้นอาศัยอยู่”
ส่วนไอเดียของการชวนเลวีมารับหน้าที่กำกับในภาคนี้ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เป็นเพราะเรย์โนลส์เคยร่วมงานกับเลวีมาแล้วหลายโปรเจกต์ ตั้งแต่ ‘Free Guy’ (2021) โดยเฉพาะในระหว่างถ่ายทำ ‘The Adam Project’ (2022) เรย์โนลส์ที่กำลังพูดคุยโปรเจกต์กับ Marvel Studios ได้ตัดสินใจชวนเขามาร่วมงานโปรเจกต์นี้ไปด้วยกัน แม้เขาจะไม่เคยทำงานกำกับหนังแฟรนไชส์จากคาแรกเตอร์มาก่อน จนทำให้เขาไม่ได้คาดหวังอะไรนัก แต่สุดท้ายเลวีก็ตกปากรับคำแบบไม่ต้องคิดนาน
“ผมว่าพระเจ้าทรงทราบดีว่าโลกต้องการหนัง ‘Deadpool’ อีกเรื่องมาก่อนที่ผมจะได้พบกับไรอัน เรย์โนลส์ ด้วยซ้ำ และชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปตลอดกาล ไรอันบอกผมว่า ‘ฉันคิดว่าฉันคงทำ ‘Deadpool’ อีกสักเรื่อง ถ้าเราจะทำด้วยกัน’ ผมจำได้ว่าไรอันบอกว่า ‘ฉันรู้น่าว่านายคงจะปฏิเสธ’ และผมจำได้ว่าผมพูดสิ่งที่คิดในใจว่า ‘นายกำลังพูดอะไรน่ะ ฉันตอบตกลงไปแล้วเว้ย'”
แต่สิ่งที่ยากกว่านั้นก็คงหนีไม่พ้นการหาเรื่องราวที่เหมาะสมให้กับ ‘Deadpool’ ภาคใหม่ ทั้งการสานต่อแนวทางการนำเสนอสุดเกรียน โหด ห่าม ติดเรต R ที่ทำให้ 2 ภาคแรกประสบความสำเร็จอย่างสูง รวมทั้งการที่เรย์โนลส์เองไม่แน่ใจว่าจะหาที่ทางให้แอนตี้ฮีโรสุดเกรียนตัวนี้ เข้าไปแทรกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล MCU ได้อย่างไร การพัฒนาบทเดินหน้าไปพร้อมกับการเสนอไอเดียในห้องประชุมกับเควิน ไฟกี (Kevin Feige) ประธานของ Marvel Studios ที่ทำให้พวกเขาเกือบจะถอดใจกับโปรเจกต์นี้
เลวีเล่าถึงตอนนั้นว่า “เราต้องหาเรื่องราวที่เหมาะสม และนั่นนำไปสู่ช่วงเวลาที่น่าสนใจมากในช่วงหลายเดือนที่ไรอัน ผม พร้อมด้วย พอล เวอร์นิก (Paul Wernick) และเร็ตต์ รีส (Rhett Reese) ผู้เขียนบท ‘Deadpool’ (2016) และ ‘Deadpool 2’ (2018) และเซ็บ เวลส์ (Zeb Wells) ผู้เขียนบทซีรีส์ ‘She-Hulk: Attorney at Law’ (2022) จะคอยมาคิดไอเดียเรื่องราว และประชุมกับเควิน ไฟกี และทีมงานที่ Marvel 2 ครั้งต่อสัปดาห์”
“ยอมรับตามตรงเลยว่า พวกเราพยายามกันหนักมาก เพื่อค้นหาเรื่องราวที่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ และไม่ซ้ำซ้อนกับ ‘Deadpool’ 2 เรื่องก่อนหน้า มันต้องคู่ควรกับการเป็น ‘Deadpool’ ภาคแรกในจักรวาลภาพยนตร์ของ Marvel แต่ก็ต้องมีความเป็นหนังที่มีความติดดินบางอย่างด้วย เพราะนี่คือแฟรนไชส์ซูเปอร์ฮีโรที่อยู่บนโลก มีความโหดร้ายและสมจริง”
“มันมีทั้งที่สำเร็จและล้มเหลว จนไรอันกับผมเกือบจะบอกกับเควินแล้วว่า ‘รู้ไหม ? บางทีตอนนี้มันอาจจะยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมก็ได้ เพราะว่าเรายังคิดบทไม่ออก’ และนั่นก็คือช่วงเวลาที่โทรศัพท์ของไรอันดังขึ้น เพราะว่าฮิวโทรมาจากที่รถของเขา”
ตอนนั้นแจ็กแมนกำลังอยู่ในระหว่างสัปดาห์พักร้อน หลังจากใช้เวลาทุ่มเทกับภารกิจการแสดงละครบรอดเวย์เรื่อง ‘The Music Man’ แต่การดู ‘Deadpool’ ภาคแรกมาแล้ว ก็ทำให้เขามองเห็นภาพของการผจญภัยระหว่าง Deadpool กับ Wolverine จนทำให้เขาตัดสินใจโทรไปตกลงกับเพื่อนซี้อย่างเรย์โนลส์ด้วยตัวเอง แจ็กแมนเล่าถึงช่วงเวลาที่ทำให้เขายอมกลับมารับบทที่เคยประกาศวางมือไปแล้วเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี นับตั้งแต่การปรากฏตัวครั้งสุดท้ายใน ‘Logan’ (2017)
“มันเป็นวันที่ 15 สิงหาคม ปี 2022 ผมกำลังขับรถในช่วงเริ่มต้นวันหยุดพักร้อน 1 สัปดาห์จากบรอดเวย์ มันเป็นงานที่ใหญ่มาก เราทำงานกันมาตั้ง 9 เดือน 6 วันต่อสัปดาห์ เมื่อคุณได้หยุดพัก 1 สัปดาห์ มันก็ทำให้เกิดความรู้สึกพิเศษและปลดปล่อยความรู้สึกได้”
“ผมนั่งอยู่ที่ชายหาดแบบไม่แคร์โลก อยู่ดี ๆ ก็มีอะไรบางอย่างผุดเข้ามาในหัวผมว่า ‘นายอยากทำอะไรต่อ’ ซึ่ง 2 อย่างแรกไม่เกี่ยวกับงานเลยครับ จากนั้นผมก็คิดไปถึง Deadpool กับ Wolverine ผมอยากเล่นหนังเรื่องนั้นนะ นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ”
“หลังจากนั้นไม่นาน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาว่า ‘แต่นายวางมือไปตั้งแต่ ‘Logan’ แล้วนี่หว่า แล้วคนอื่นจะคิดยังไงเนี่ย ?’ ผมเลยเถียงกับเสียงในหัวว่า ‘เออหยุดเหอะ นี่แหละคือสิ่งที่ฉันต้องการ’ จากนั้นผมมีเวลาขับรถกลับบ้านประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง และผมคิดว่าผมต้องโทรหาไรอัน ผมไม่รู้ว่าพวกเขาไปถึงไหนแล้ว คิดว่าคงน่าจะเริ่มถ่ายทำกันไปแล้วมั้ง”
แม้สิ่งที่ไฟกีเองไม่เห็นด้วยกับไอเดียของเรย์โนลส์อย่างหนึ่งก็คือ ไอเดียการนำเอาแจ็กแมนกลับมารับบทวูล์ฟเวอรีนอีกครั้ง หลังจากที่วางมือไปแล้วใน ‘Logan’ เพราะเขากลัวว่าการกลับมาครั้งนี้จะทำลายช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในฮอลลีวูดไป แต่สุดท้ายด้วยเหตุผลหลายอย่าง รวมทั้งการที่บังเอิญว่าแจ็กแมนเองก็เคยร่วมงานกับเลวีมาแล้วใน ‘Real Steel’ (2011) และทั้ง 3 คนต่างก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ทุกอย่างจึงไม่ใช่เรื่องยาก
“ผมรู้โดยสัญชาตญาณว่า ‘Deadpool’ จะทำให้เราเข้าถึงด้านที่แตกต่างของตัวละครวูล์ฟเวอรีนได้มากกว่าที่ผมเคยแสดงมาในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ขัน บทสนทนา และการกระทำ ทุกอย่างดูสดใหม่ไปหมดสำหรับผม และผมก็ได้แบ่งปันสิ่งนี้กับไรอันและชอว์น ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด 2 คนของผม พวกเรา 3 คนเป็นเหมือนกับ 3 เกลอ ไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่หัวเราะจนน้ำตาไหล ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมากที่ได้กลับมารับบทนี้ ผมผ่านมันมา 25 ปีแล้ว และมันก็รู้สึกดีขึ้นกว่าที่เคยเป็น”
ในระหว่างการประชุมออนไลน์ แจ็กแมนได้ยืนยันผ่านโทรศัพท์ของเรย์โนลส์ว่าเขาจะกลับมารับบทนี้อย่างแน่นอน และทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มขึ้นจากตรงนั้น
เรย์โนลส์: “หลังจากนั้นไม่นาน เราประชุมกับเควิน ไฟกี ผ่าน Zoom ผมจำได้ว่ามันเป็นวันเดียวกัน”
แจ็กแมน: “ผมโทรหาเขาทันทีเลย ด้วยเหตุผลบางอย่างมันทำให้ผมรู้สึกว่ารออีก 20 นาทีไม่ไหวแล้ว ปกติ 20 นาทีมันไม่ได้สำคัญอะไร แต่แปลกที่มันดูสำคัญขึ้นมาเสียอย่างนั้น ผมบอกว่า ‘ผมอยากเล่นหนังเรื่องนี้ เพราะผมรู้ดีถึงแก่นแท้ของมัน’ แล้วไรอันก็พูดว่า ‘ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเวลานั้นจะมาถึงแล้ว เพราะเรากำลังจะประชุมกัน และผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้เราไปถึงไหนแล้ว'”
เรย์โนลส์: “ตอนที่เราประชุม Zoom กับเควิน เรามุ่งตรงไปที่ประเด็นสำคัญทันที ผมบอกว่า ‘นี่ดูสิ มีคนโทรมาหาเราด้วยนะ ผมรู้สึกว่า เราคงจะโง่เง่าเต่าตุ่นมากเลยเนอะ ถ้าจะมองดูของขวัญชิ้นนี้แล้วไม่สนใจมันน่ะนะ โอกาสแบบนี้มีแค่ 1 ในล้าน ผมรู้สึกแบบจริง ๆ เลยว่า นี่แหละคือสิ่งที่เรากำลังมองหา'”