Release Date
04/07/2024
ความยาวหนัง
95 นาที
แนวหนัง
แอนิเมชัน ตลก ผจญภัย
ผู้กำกับ
คริส เรโนด์ ( Chris Renaud) แพทริค ดีเลจ (Patrick Delage)
ให้เสียงพากย์
สตีฟ คาเรลล์ (Steve Carell) วิล เฟอร์เรลล์ (Will Ferrell) โจอี้ คิง (Joey King)
Our score
6.3[รีวิว] Despicable Me 4 – ตามสูตรเป๊ะ เมกะมินเนี่ยนแอบเสียดายของ
ตามสูตรเป๊ะ เมกะมินเนี่ยนแอบเสียดายของ
หนังเลือกสูตรสำเร็จเดิมคือกรูต้องมาปะทะกับคู่ปรับวายร้ายที่เคยแข่งกันหรือมีความแค้นกันมาก่อน แล้วเขาต้องหาทางต่อกรเพื่อช่วยเอวีแอลจับตัวมาให้ได้ แต่หากจะหาว่าอะไรคือสิ่งใหม่ก็คงหนีไม่พ้นบทบาทพ่อของกรูที่ดูน่ารักน่าชังและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ส่วนเหล่ามินเนียนก็ยังทำหน้าที่ตัวเองได้ไม่ขาดตกบกพร่อง แต่การใช้ประโยชน์ของเมกะมินเนียนในหนังกลับพบว่ามันถูกให้ความสำคัญน้อยไปหน่อย ตัวละครใหม่ยังไม่ได้ถูกใช่ประโยชน์มากเท่าที่ควร ส่วนการเลือกเพลงประกอบยังตามหลังหนังภาคก่อน
จุดเด่น
- การสร้างเมกะมินเนียน ทำให้เห็นสิ่งแปลกใหม่ของตัวขโมยซีนได้ดี
- การเพิ่มเรื่องราวครอบครัวทำให้กรูดูอบอุ่น
จุดสังเกต
- ตัวละครใหม่ยังถูกใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่
- เมกะมินเนยนยังไม่ถูกใช้ประโยชน์ในหนังเท่าใดนัก
- การเลือกเพลงประกอบยังตามหลังหนังภาคก่อนหน้า
-
บทภาพยนตร์
5.5
-
โปรดักชัน
7.0
-
งานพากย์เสียง
7.0
-
ความสนุกสนาน น่าติดตาม
6.0
-
ความคุ้มค่าในการรับชม
6.0
หากนับระยะห่างของ ‘Despicable Me’ แต่ละภาคอาจถือได้ว่า ‘Despicable Me 4’ เป็นภาคที่ทิ้งห่างจากหนังภาคที่แล้วนานที่สุดถึง 7 ปี หากเราไม่นับหนังสปินออฟอีก 3 เรื่องในชื่อ ‘Minions’ เพื่อเป็นการต่อยอดคาแรกเตอร์ทำเงินของค่ายอิลลูมิเนชัน เอนเตอร์เทนเมนต์ (Illumination Entertainment) ของยูนิเวอร์เซล พิคเจอส์ (Universal Pictures) และจากผลลัพธ์จากการชมตัวผลงานล่าสุดก็เหมือนเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าตัวหนังภาคหลักเองอาจอยู่ในสถานะที่ไม่ได้เรียกร้องเรื่องราวภาคต่อหรือบังคับให้มีเรื่องราวต่อเนื่อง เหมือนอย่างเจ้าตัวมินเนี่ยน ตัวละครประกอบที่ดันโดดเด่นกว่าตัวละครหลักอย่าง กรู ด้วยซ้ำ
เรื่องราวหลักในภาคที่ 4 นี้จะพาเราไปรู้จักคู่ปรับตั้งแต่วัยหนุ่มอย่าง แม็กซิม (ให้เสียงพากย์โดย วิล เฟอร์เรลล์, Will Ferrell) ยอดวายร้ายเพชรยอดมงกุฎแห่งโรงเรียนลีชี่ปาแซง ที่กรู (ให้เสียงพากย์โดย สตีฟ คาร์เรล, Steve Carell) พาหน่วยเอวีแอลเข้าจับกุมกลางงานประกาศรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น แต่หลังจาก แม็กซิม แหกคุกได้สำเร็จ กรู จำต้องปกป้องครอบครัวของเขาทั้ง ลูซี่ (ให้เสียงพากย์โดย คริสเตน วิก, Kristen Wiig) และบรรดาลูกสาวรวมถึงกรูจูเนียร์ทารกน้อยที่เพิ่งเกิดให้พ้นเงื้อมมือวายร้ายที่มีดีเอ็นเอของแมลงสุดโหดอย่างแม็กซิม และในขณะเดียวกันเหล่ามินเนี่ยนก็ถูกจับไปทดลองเพื่อสร้าง เมกะมินเนี่ยนมาต่อกรกับเหล่าวายร้ายสุดโหด
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าระยะเวลาเว้นช่วงจาก ‘Despicable Me3’ ในปี 2017 มาภาคที่สี่ในปี 2024 นับรวมได้ 7 ปีพอดีนั่นหมายถึงการกลับมาของหนังในภาคหลักจะไม่ใช่แค่การมีเส้นเรื่องเบาบางเพื่อให้เหล่ามินเนี่ยนมาขโมยซีนเท่านั้นตามความคาดหวังของผู้ชมอย่างผม แต่ผิดคาดครับหนังเลือกสูตรสำเร็จเดิมคือกรูต้องมาปะทะกับคู่ปรับวายร้ายที่เคยแข่งกันหรือมีความแค้นกันมาก่อน แล้วเขาต้องหาทางต่อกรเพื่อช่วยเอวีแอลจับตัวมาให้ได้ แต่หากจะหาว่าอะไรคือสิ่งใหม่ก็คงหนีไม่พ้นบทบาทพ่อของกรูที่ดูน่ารักน่าชังและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนเหล่ามินเนี่ยนก็ยังทำหน้าที่ตัวเองได้ไม่ขาดตกบกพร่องนะครับ ตั้งแต่แกงกันเองไปจนป่วนเอวีแอลจนเละเทะ แต่สิ่งที่ต้องชื่นชมสำหรับการปรากฏตัวของมินเนี่ยนคือฉากจำในหนังภาคนี้มีเยอะมาก และโดดเด่นกว่าหนังภาคก่อนคือมีทั้งคอสตูมชุดโมโตเรซซิงที่เข้าใจคิดมาก โดยเฉพาะมุกเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เบบี๋ กรูจูเนียร์ หรือการติดตั้งคาร์ซีตที่ดูแล้วอดอมยิ้มตามไม่ได้เลยครับ จะมีน่าเสียดายจริง ๆ ก็คือในส่วนของไฮไลต์ของหนังภาคนี้อย่าง เมกะมินเนี่ยน หรือเหล่ามินเนี่ยนกลายพันธุ์
ซึ่งในส่วนของเมกะมินเนี่ยน จุดแรกที่ดูแล้วเป็นช่องโหว่อย่างเห็นได้ชัดคือการนำพาเรื่องราวมาส่วนนี้ที่ขาดความหนักแน่นไปซักหน่อย คือแค่ประธานของเอวีแอลอยากจะใช้มินเนี่ยนเป็นตัวทดลองสร้างซูเปอร์โซลเยอร์เลยเอามินเนี่ยน 5 ตัวมาเข้าเครื่องเปลี่ยนสภาพจนได้ มินเนี่ยนจอมพลัง, มินเนี่ยนตาเลเซอร์, มินเนี่ยนยางยืด, มินเนี่ยนบินได้ และมินเนี่ยนกินทุกอย่าง ซึ่งแน่นอนครับว่ามันถูกคิดมาเพื่อนำมาต่อยอดขายเมอร์แชนไดส์ต่อแน่นอน แต่ในการใช้ประโยชน์ในหนังกลับพบว่ามันถูกให้ความสำคัญน้อยไปหน่อย แต่เพื่อไม่เป็นการสปอยล์ก็คงต้องขอให้ทุกท่านไปชมกันเอาเองนะครับ
ส่วนตัวละครใหม่อย่าง ป็อบปี้ เพรสค็อต ที่ได้โจอี้ คิง (Joey King) สาวสวยมากความสามารถที่หลายคนน่าจะคุ้นตาจาก ‘The Kissing Booth’ ทั้ง 3 ภาคทางเน็ตฟลิกซ์ ก็ถือว่ามีอะไรน่าสนใจหลายอย่าง ทั้งการเป็น “สาวอยากร้าย” แบบเด็กเจนซีที่ถ้าปั้นดี ๆ อาจขโมยซีนได้ไม่แพ้เหล่ามินเนี่ยนในหนัง แต่สุดท้ายตัวละครนี้ก็กลับแบนเกินไปจนเสียดายในสีสันของตัวละครที่อุตส่าห์มีฉากเต้นกับแมวที่ทำออกมาจึ้งมาก !
หรือจะเป็นวายร้ายอย่าง แม็กซิม ที่เอาคู่ซี้ของสตีฟ คาเรลล์ อย่าง วิล เฟอร์เรลล์ มาพากย์ได้อย่างมีสีสัน ที่อุตส่าห์เปิดตัวได้น่าสนใจ มีความเป็นวายร้ายกลายพันธุ์ที่สามารถโหดได้มากกว่านี้ และดาร์กได้สุดกว่านี้ แต่พอหนังถูกเรต PG มาคุมไว้ เราเลยได้เห็นแค่ฉากซ้ำ ๆ อย่างการเอาแขนตั๊กแตนตัดเหล็กได้ หรือใช้ขายุ่บยั่บในการเดินให้ดูเป็นแมลง แต่ที่ต้องชื่นชมคืองานดีไซน์ครับ ต้องยอมรับว่าการปูให้ แม็กซิม เป็นคนฝรั่งเศสเลยทำให้งานคอสตูมของเขาเป็นสีสันสำคัญของเรื่องมาก โดยเฉพาะแว่นกันแดดสีเขียวที่เชื่อว่าถ้าทำออกมาขายจริงน่าจะขาดตลาดแน่นอน
อีกจุดเด่นหนึ่งของหนังชุด ‘Despicable Me’ คือการเลือกเพลงจากแคตตาล็อกเพลงฮิตมาใช้ในหนัง ซึ่งมีทั้งการนำมาดัดแปลงเป็นเวอร์ชันมินเนี่ยนอย่างเพลง ‘I Swear’ ในตอนจบของ ‘Despicable Me2’ ที่ถูกนำไปคัฟเวอร์ใน TikTok จนเป็นไวรัลไปไม่นานมานี้ หรือจะเป็นการนำเพลงฮิตอย่าง ‘Bad’ ของราชาเพลงป็อปอย่าง ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) มาเปิดตัววายร้ายใน ‘Despicable Me 3’ มาในภาคที่ 4 ต้องบอกว่ามีทั้งเพลงเกาหลีอย่าง ‘Boombayah’ ของแบล็กพิงค์ (Black Pink) หรือ Dynamite ของวงบีทีเอส (BTS) มาเปิดคลอ หรือกระทั่งการใช้สกอร์ของ ‘The Terminator’ หรือคนเหล็กมาประกอบในฉากที่ลูซี่โดนลูกค้าผมแหว่งไล่ล่าเพื่ออ้างอิงถึงหนังดัง ส่วนเพลงปิดของหนังก็เลือก ‘Everybody wants to rule the world’ ของวงเทียร์ฟอร์เฟียร์ (Tear for fear) ที่หลายคนยังไม่ลืมจากหนัง ‘The Breakfast Club’ มาใช้ในการสรุปเรื่องราว แต่ก็ต้องบอกว่าหากนำไปเทียบกับภาคก่อน ๆ มันก็ดูด้อยในด้านความคิดสร้างสรรค์ไปจนน่าเสียดายครับ