Warner Bros. Pictures ได้ปล่อยตัวอย่างแรกอย่างเป็นทางการของ ‘F1’ ภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของการแข่งฟอร์มูลาวัน (Formula One) อย่างจริงจัง ที่นำแสดงและร่วมอำนวยการสร้างโดย แบรด พิตต์ (Brad Pitt)

พิตต์รับบทเป็น ซอนนี เฮย์ส (Sonny Hayes) นักแข่งฟอร์มูลาวันที่ต้องเกษียณตัวเองหลังประสบอุบัติเหตุร้ายแรง แต่ต้องกลับเข้าสู่สนามแข่งอีกครั้งเพื่อเป็นผู้ฝึกสอนให้กับนักแข่งรุ่นใหม่อย่าง โจชัว เพียร์ซ (Joshua Pearce) ที่รับบทโดย แดมสัน อิดริส (Damson Idris) ร่วมด้วยนักแสดงชื่อดังอีกมากมาย เช่น เคอร์รี คอนดอน (Kerry Condon), โทเบียส เมนซี่ส์ (Tobias Menzies), ฆาบิเอร์ บาร์เดม (Javier Bardem), ซาราห์ ไนลส์ (Sarah Niles) และวิล เมอร์ริค (Will Merrick)

นอกจากนี้ยังได้นักแข่งฟอร์มูลาวันระดับท็อปของโลกตัวจริงมาร่วมแสดง นั่นคือ เซอร์ลูวิส แฮมิลตัน (Sir Lewis Hamilton) นักแข่งชาวอังกฤษ จากทีมเมอร์เซเดส (Mercedes) ที่คว้าแชมป์โลก Formula One World Drivers’ Championship มาถึง 7 สมัย เทียบเท่านักแข่งระดับตำนานอย่าง มิชชาเอล ชูมัคเคอร์ (Michael Schumacher) พร้อมครองสถิติชนะการแข่งมากที่สุดถึง 104 ครั้ง รวมถึงมักซ์ แฟร์สตัปเปิน (Max Verstappen) นักแข่งรุ่นใหม่จากทีมเร็ดบุลเรซซิง (Red Bull Racing) ที่คว้าแชมป์โลก 3 สมัย ติดต่อกัน (2021, 2022 และ 2023)

ตัวอย่างแรกนี้เปิดด้วยฉากที่เฮย์สกำลังอธิบายกลยุทธ์สุดอันตรายเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในการแข่งขันกลับมาอีกครั้ง ตัดสลับไปอย่างรวดเร็วกับงานภาพฉากการขับรถแข่งฟอร์มูลาวันบนสนามจริงที่น่าทึ่ง พร้อมเพลง We Will Rock You ของวงควีน (Queen) ที่สร้างความฮึกเหิมทุกครั้งที่ได้ฟัง

‘F1’ กำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ (Joseph Kosinski) จาก ‘Top Gun: Maverick’ (2022) ที่ทำรายได้ทั่วโลกไปมหาศาลถึง 1,493 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 170 ล้านเหรียญ, ได้คะแนนวิจารณ์บน Rotten Tomatoes สูงถึง 96% และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 6 สาขา รวมถึงภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (คว้าได้ 1 สาขา: บันทึกเสียงยอดเยี่ยม)

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ ‘Top Gun: Maverick’ ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลคือ การกลับมาใช้เอฟเฟกต์แบบพื้นฐานมากขึ้น พร้อมงานสตันต์บนท้องฟ้าระดับสุดยอด และนำความเป็นบล็อกบัสเตอร์กลับมาอีกครั้ง ซึ่งทีมผู้สร้าง ‘F1’ คาดหวังว่าโคซินสกี้จะนำศักยภาพดังกล่าวมาใช้กับ ‘F1’ อย่างได้ผล

ก่อนหน้านี้มีข่าวลือ ‘F1’ ใช้ทุนสร้างมหาศาลมากกว่า 300 ล้านเหรียญ ในขณะที่ เจอร์รี บรักไฮเมอร์ (Jerry Bruckheimer) ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Deadline เกี่ยวกับทุนสร้างดังกล่าวว่า การถ่ายทำต้องหยุดเป็นระยะเวลานาน เนื่องจากการประท้วงของสมาพันธ์นักเขียนและนักแสดง กอปรกับการถ่ายซ่อมหลายฉาก ซึ่งทำให้ต้องใช้ทุนในการถ่ายทำเพิ่มอีกหลายสิบล้านเหรียญ และเขายังไม่ทราบทุนสร้างที่ชัดเจน แต่คาดว่าอาจน้อยกว่าข่าวลืออยู่เล็กน้อย

หากจำนวนทุนสร้างดังกล่าวแม่นยำ จะทำให้ ‘F1’ กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสร้างสูงเป็นประวัติการณ์ และจะมีจุดคุ้มทุนอยู่ที่ประมาณ 750 ล้านเหรียญ ซึ่งทำให้ตัวภาพยนตร์ต้องทำรายได้ถึงระดับ 1,000 ล้านเหรียญ จึงจะสามารถเข้าสู่กระบวนการทำกำไรได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ