จากความสำเร็จของ ‘Iron Man’ (2008) หนังเรื่องแรกของ Marvel Studios ที่นอกจากจะเป็นจุดเริ่มต้นที่แผ้วถางความสำเร็จให้กับหนังซูเปอร์ฮีโรในฮอลลีวูดแล้ว ก็ยังส่งให้ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.) กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับ A-List เจ้าของบท โทนี สตาร์ก (Tony Stark) ที่มีบทบาทสำคัญใน MCU และกลายมาเป็นนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์อีกคนของฮอลลีวูด
จะยกเว้นก็แต่ เทอร์เรนซ์ ฮาวเวิร์ด (Terrence Howard) นักแสดงวัย 55 ปี เจ้าของบท ผู้พันเจมส์ โรด (James Rhodes) หรือโรดี (Rhodey) นายทหารคนสนิท และเพื่อนซี้เกราะเหล็กของโทนี สตาร์ก ที่ต้องออกจากจักรวาลซูเปอร์ฮีโรไป ก่อนที่ ดอน ชีเดิล (Don Cheadle) จะได้สวมเกราะ วอร์แมชชีน (War Machine) แทนใน ‘Iron Man 2’ (2010)
ในบทสัมภาษณ์ของพอดแคสต์ The Joe Rogen Experience ฮาวเวิร์ดได้มีโอกาสเล่าถึงเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจถอนตัวออกไปก่อนที่ MCU จะเติบโต รวมทั้งยังเปิดเผยว่า เขาคือคนที่สนับสนุนให้ดาวนีย์ จูเนียร์ ได้รับบท โทนี สตาร์ก ใน ‘Iron Man’
“ตอนที่ผมถ่ายทำ ‘The Brave One’ (2007) กับ โจดี ฟอสเตอร์ (Jodie Foster) ซูซาน ดาวนีย์ (Susan Downey, ภรรยาของดาวนีย์ จูเนียร์) ที่เป็นโปรดิวเซอร์ร่วมกับ โจล ซิลเวอร์ (Joel Silver) เดินมาที่รถเทรลเลอร์ของผมแล้วบอกว่า ‘ว้าว มันสุดยอดมากเลย ขอแสดงความยินดีกับบทใน ‘Iron Man’ ด้วยนะ มันเป็นครั้งแรกเลยที่พวกเขาเลือกนักแสดงสมทบก่อนนักแสดงนำ แล้วโรเบิร์ตก็อยากเข้าไปในโปรเจกต์นี้ด้วยเหมือนกัน'”
“พวกเขากำลังพูดถึง ไคลฟ์ เดวิส (Clive Davis) และเรื่องอื่น ๆ ผมก็เลยบอกไปว่า ‘โอเค เยี่ยมเลย ผมก็แค่ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำน่ะ’ แล้วเธอก็บอกว่า ‘โรเบิร์ตอยากได้บทนั้นจริง ๆ นะ แต่ผู้บริหารไม่ได้เรียกเขาให้ไปเข้าพบ'”
ไคลฟ์ เดวิส ที่ฮาวเวิร์ดกล่าวถึง จริง ๆ แล้วหมายถึงแอ็กชันสตาร์ ไคลฟ์ โอเวน (Clive Owen) ซึ่งเป็นนักแสดงคนแรกที่สตูดิโอวางตัวให้มารับบท โทนี สตาร์ก ก่อนจะปฏิเสธไป ในทางกลับกัน ดาวนีย์ จูเนียร์ นักแสดงที่เคยเป็นดาวดับเพราะยาเสพติด แม้เขาจะเริ่มกลับมารับบทในหนังนอกกระแสบ้างแล้ว แต่ดูเหมือนผู้บริหารก็ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าเขาจะกลับมาจรัสแสงได้
ฮาวเวิร์ดกล่าวอ้างเพิ่มเติมอีกว่า ที่เขาสนับสนุนดาวนีย์ จูเนียร์ ก็เพราะว่าตัวเขาชื่นชอบผลงานการแสดงของนักแสดงหนุ่มคนนี้เป็นการส่วนตัว
“ผมรักโรเบิร์ตมาก ผมชอบงานที่เขาทำ ผมชอบเขาในหนัง ‘Weird Science’ (1985) แต่พวกเขาอยากให้ ไคลฟ์ เดวิส (ไคลฟ์ โอเวน) เล่นบทนี้ เพราะเท่าที่ผมจำได้ก็คือ (ผู้บริหาร) วางแผนจะให้ War Machine มาแทนที่ (Iron Man) ผมก็เลยคิดว่า ถ้าโรเบิร์ตได้มาแสดงก็น่าจะดีนะ”
“ผมเลยโทรหา เอวี อาราด (Avi Arad, ผู้ก่อตั้งและอดีตผู้บริหาร Marvel Studios) ที่เป็นโปรดิวเซอร์หนังเรื่องนี้ ผมบอกว่า ‘เอวี ผมได้ยินมาว่าโรเบิร์ตอยากได้บทนี้ แต่คุณไม่ยอมให้เขาเข้ามาออดิชันบทเลยเหรอ’ เขาตอบมาว่า ‘เราไม่สามารถเซ็นสัญญากับเขาได้’ ผมเลยบอกว่า ‘ถ้างั้นแทนที่จะให้ค่าตัวผม 4.5 ล้านเหรียญ ทำไมไม่เอาสัก 1 ล้านเหรียญไปทำสัญญาและให้เขาเข้าไปออดิชันแทนล่ะ ?’ สุดท้ายโรเบิร์ตก็ได้รับบทนั้น โรเบิร์ตเข้ามาพูดกับผมว่า ‘ผมรักคุณมากนะ ขอบคุณมาก ๆ เลย'”
‘Iron Man’ ประสบความสำเร็จเกินคาดด้วยรายได้สูงถึง 585 ล้านเหรียญ ทำให้ Marvel Studios ยืนได้อย่างมั่นคง ส่วนดาวนีย์ จูเนียร์ ก็กลายเป็นนักแสดงที่คนทั้งโลกรู้จักและหลงรักเขา จากบทบาทมหาเศรษฐีเพลย์บอยที่กลายมาเป็นซูเปอร์ฮีโรเกราะเหล็ก และแน่นอนว่าสตูดิโอย่อมไม่รอช้าที่จะเข็นภาคต่อออกมา โดยมีทั้งดาวนีย์ จูเนียร์ และนักแสดงคนอื่น ๆ รวมทั้งทีมงานกลับมาครบทีม ยกเว้นก็แต่ฮาวเวิร์ดที่ไม่ได้กลับมารับบทโรดีอีกต่อไป
สาเหตุหลัก ๆ ก็เป็นเพราะการตกลงเรื่องค่าตัวที่ไม่ลงตัวระหว่างเขากับสตูดิโอนั่นเอง เพราะแม้เขาจะเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง จากการร่วมแสดงในหนังดราม่า ‘Crash’ (2004) ที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ ส่วนตัวเขาเองก็มีชื่อชั้นได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก ‘Hustle & Flow’ (2005) ที่ทำให้เขาเป็นนักแสดงคนแรกที่ได้เซ็นสัญญา และได้รับค่าตัวจากหนังเรื่องนี้มากที่สุด
ในขณะที่ดาวนีย์ จูเนียร์ เป็นนักแสดงที่เพิ่งกลับเข้าวงการ หลังจากผ่านพ้นข่าวเสีย ๆ หาย ๆ มา จึงทำให้เขาได้ค่าตัวพอสมแก่สถานะที่ 5 แสนเหรียญ (รวมส่วนแบ่งรายได้อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านเหรียญ)
แต่หลังจากภาคแรกที่ประสบความสำเร็จ ในภาคต่อ ‘Iron Man 2’ (2010) ฮาวเวิร์ดเจรจากับสตูดิโอเพื่อขอเพิ่มค่าตัวเป็น 8 ล้านเหรียญ แต่ด้วยความที่ในเวลานั้น Marvel Studios ยังเป็นสตูดิโอที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน แทนที่จะได้เพิ่มขึ้น สตูดิโอกลับขอลดค่าตัวของเขาลงเหลือเพียง 1 ล้านเหรียญ จากบทบาทของเขาที่ลดลง ก่อนจะเอาส่วนแบ่งนั้นไปเพิ่มให้กับนักแสดงนำหลักอย่าง ดาวนีย์ จูเนียร์ (ที่ได้ค่าตัวในภาคนี้ประมาณ 10 ล้านเหรียญ) แทน
“ผมได้แสดงใน ‘Iron Man’ ไปแล้ว แต่จู่ ๆ ก็เงียบหายไป ผมทำข้อตกลงเล่นหนังกับ Marvel ไว้ตั้ง 3 เรื่องเลยนะ ! ค่าตัว 4.5 ล้านเหรียญสำหรับภาคแรก 7.5 – 8 ล้านเหรียญสำหรับภาค 2 และ 12 ล้านเหรียญสำหรับภาค 3 เราเซ็นสัญญากันเรียบร้อยแล้ว”
“จนพวกเขาติดต่อกลับมาหาผม ในสัปดาห์ที่แม่ของผมเสีย เขาโทรหา ชาร์ลส์ คิง (Charles King) ตัวแทนของผม ซึ่งตอนนั้นอยู่ที่ William Morris เขาบอกว่า ‘ใช่ เราต้องการเทอร์เรนซ์นะ แต่เราอยากให้เขากลับมาด้วยค่าตัว 1 ล้านเหรียญ แทนที่จะเป็น 8 ล้านเหรียญตามที่เราตกลงกัน’ ตัวแทนของผมเกิดอารมณ์ขึ้นมา ก่อนจะพูดว่า ‘ไปตายซะ-ึง’ แล้ววางสาย แล้วพวกเขาก็ไปหา ดอน ชีเดิล ทันที”
ใน ‘Iron Man 2’ จึงได้เห็นชีเดิล เพื่อนของฮาวเวิร์ดมารับบท War Machine ที่เป็นทั้งเพื่อนและ Sidekick ของโทนี ก่อนจะเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็น Iron Patriot ใน ‘Iron Man 3’ (2013) ชีเดิลได้เข้ามาสู่ MCU ด้วยการเซ็นสัญญาเล่นหนัง 6 เรื่อง จนถึงภาคสุดท้าย ‘Avengers: Endgame’ (2019) และกลับมารับบทเดิม (ตัวปลอมที่ถูก Skrull สวมรอย) ในซีรีส์ ‘Secret Invasion’ (2023)
ชีเดิลเคยออกมาเปิดเผยถึงช่วงเวลาที่สตูดิโอเสนอบทให้เขา โดยให้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงในการตัดสินใจ
“ตอนนั้นผมอยู่ในงานปาร์ตี้เลเซอร์แท็กในงานวันเกิดลูกสาวของผมน่ะครับ ผมได้รับโทรศัพท์จากตัวแทนโทรมาบอกว่า ‘Marvel มีบทจะเสนอให้คุณน่ะ เดี๋ยวจะติดต่อคุณกับ Marvel นะ’ ผมตกใจมาก ไม่รู้ว่าใครโทรมา แต่เขาบอกว่า ‘มันเป็นสัญญาแบบหนัง 6 เรื่อง เราอยากให้คุณได้รับบทนี้ แต่เราต้องการจะรู้ว่าคุณจะตกลงไหม งั้นเราให้คุณตัดสินใจ 1 ชั่วโมง ถ้าคุณไม่รับ เราจะได้ไปเสนอบทให้คนอื่น'”
“ผมลองมาบวกลบดูแล้ว หนัง 6 เรื่อง น่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 12 ปีเลยนะ หนังเรื่องอะไร เป็นแบบไหนก็ยังไม่รู้ ผมเลยตอบไปว่า ‘คือตอนนี้ผมอยู่ในปาร์ตี้เลเซอร์แท็กน่ะ’ เขาเลยบอกว่า ‘โอเค งั้นให้เวลาเพิ่มเป็น 2 ชั่วโมงแล้วกัน’ ใจป้ำมากเลยให้ตาย ! ผมเลยกลับเข้าไปเล่น แล้วก็คุยกับภรรยา เธอบอกว่างั้นก็ลองเล่นดู ผมก็เลยตอบตกลง”
หลังจากที่เขาไม่ได้ร่วมทางในจักรวาล MCU อีกต่อไป มีข่าวลือถึงขั้นว่า ฮาวเวิร์ดออกจาก MCU เพราะมีปัญหาด้านพฤติกรรมในกองถ่าย จนทำให้งานด้านภาพยนตร์ของเขาหลังจากนั้นไม่ค่อยโดดเด่นนัก แต่กลับไปโดดเด่นในงานแสดงทีวีซีรีส์แทน
ส่วนความสัมพันธ์ของเขากับดาวนีย์ จูเนียร์ ก็ยากที่จะคาดเดา เพราะแม้ว่าเขาจะเคยสัมภาษณ์ในเชิงโจมตีว่า เขาคือคนที่ทำให้ดาวนีย์ จูเนียร์ ได้กลายเป็น Iron Man ที่ได้แสดงในหนังของ MCU อีกนับ 10 เรื่อง และได้รับค่าตัวจำนวนมหาศาล แต่กลับเป็นคนเอาเงินค่าตัว (ที่เขาคิดว่าควรจะได้) ไปและพยายามผลักไสเขา จนถึงขนาดที่โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย
“เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ผมโทรหาโรเบิร์ต ตอนนั้นเขากำลังเล่นหนัง ‘Sherlock Holmes’ ผมโทรหาเขา 27 สายและฝากข้อความไว้ ผมโทรหาผู้ช่วยของเขาและบอกว่า ‘ผมคือคนที่เคยช่วยคุณไว้ ผมต้องการความช่วยเหลือ’ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับจากเขาเลย”
“จนกระทั่ง 3 ปีต่อมา ผมบังเอิญเจอเขาในงานแต่งงานของ ไบรอัน เกรเซอร์ (Brian Grazer, โปรดิวเซอร์) ตอนนั้นผมเล่นซีรีส์ ‘Empire’ (2015–2020) กับเรื่องอื่น ๆ ด้วย เขาบอกกับผมว่า ‘โอ้ แต่ทุกอย่างที่คุณทำมันออกมาดูดีมาก ๆ เลยนะ’ นั่นมันทำให้ผมรู้สึกแย่นิดหน่อย”