Release Date
11/07/2024
ความยาวหนัง
117 นาที
แนวหนัง
ไซไฟ ผจญภัย ดราม่า
ผู้กำกับ
อี ไอแซก จอง (Lee Isaac Chung)
ผลงานผู้กำกับ
Minari (2020)
นักแสดง
เดซี เอ็ดการ์-โจนส์ (Daisy Edgar-Jones), เกล็น โพเวลล์ (Glen Powell)
Our score
8.4[รีวิว] Twisters – มีดีในตัวเองมากพอ (แต่ทำใจว่าไม่ใช่หนังภาคต่อ)
Twisters - มีดีในตัวเองมากพอ (แต่ทำใจว่าไม่ใช่หนังภาคต่อ)
มีการอ้างอิงชื่อ โดโรธี ในหนังภาคแรกมาสร้างสรรค์โดยเอาธีมของ 'The Wizard of Oz' มาใช้ในการกำหนดคาแรกเตอร์ตัวละครนำ 3 ตัว แม้ไม่ได้เป็นภาคต่อแต่บทหนังวางเรื่องราวกว่า 70 % ไล่ไปตามลู่ของหนังต้นฉบับ แต่การที่เคตกลับไปร่วมล่าพายุกับฮาวีน่ากังขาว่าอะไรทำให้เธอฝืนภาวะพีทีเอสดี (PTSD) กลับไปร่วมเสี่ยงอันตรายครั้งนี้กันแน่ การกระทำของไทเลอร์ โอเวนส์ ยังดูไร้เหตุผลจนผู้ชมอย่างผมก็จับไม่ถูกว่าการล่าพายุของเขามีอะไรมากกว่าแค่การถ่ายคลิป และทำไมต้องขวางทางฮาร์วีกับเคต และน่าเสียดายที่หนังไม่ให้เวลารู้จักคนในทีมของไทเลอร์มากพอ เดซี เอ็ดการ์-โจนส์ จาก 'Where the crawdads sing' กับ เกล็น โพเวลล์ จาก 'Top Gun: Maverick' นี่มองเพลินเป็นอายแคนดี้ (eye-candy) ที่เอาผู้ชมซะอยู่หมัด
จุดเด่น
- เอาธีม Wizard of Oz มาเล่าเรื่องได้อย่างชาญฉลาด
- เดซี เอ็ดการ์-โจนส์ จาก 'Where the crawdads sing' กับ เกล็น โพเวลล์ จาก 'Top Gun: Maverick' นี่มองเพลินเป็นอายแคนดี้ (eye-candy) ที่เอาผู้ชมซะอยู่หมัด
- วิช่วลเอฟเฟกต์เป็นจุดแข็งของหนังจริง ๆ
- บาลานซ์ดราม่ากับความตื่นเต้นฉากหนีพายุได้ดี
จุดสังเกต
- เสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสผูกพันกับทีม Tornado Wrangler เหมือนในหนังภาคแรก
- เหตุผลที่นางเอกอย่างเคตกลับมาล่าพายุยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่
- บางการกระทำของไทเลอร์ก็ดูไร้เหตุผลเกินไป
-
บทภาพยนตร์
7.0
-
โปรดักชัน
9.0
-
การแสดง
8.0
-
ความบันเทิง
9.0
-
ความคุ้มค่าในการรับชม
9.0
ในปี 1996 หนังว่าด้วยนักล่าพายุอย่าง ‘Twister’ ถูกกล่าวขานถึงความเป็นหนังฟอร์มยักษ์และแน่นอนว่ามันยังชูชื่อโปรดิวเซอร์อย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ผู้กำกับโปรแกรมเพชรหนังพันล้านที่เพิ่งมีงานฮิตติดกันทั้ง ‘Jurassic Park’ หรือหนังเข้าชิงออสการ์อย่าง ‘Shindler’s List’ เพราะฉะนั้นสองคำที่ผูกไว้กับความคาดหวัง (และมันก็ตอบแทนคนดูอย่างสาสม) ก็คือ ‘สนุกสนานยิ่งใหญ่’ และ ‘หนังมันต้องดี’ จนทำเงินไป 495.7 ล้านเหรียญทั่วโลก
เวลาผ่านไป 28 ปีในที่สุด ‘Twisters’ ที่เอาชื่อหนังภาคแรกมาเติม ‘S’ ก็ได้ฤกษ์ฉายแล้วในปี 2024 โดยเหตุการณ์ในหนังฉบับนี้จะมีศูนย์กลางอยู่ที่ เคต คูเปอร์ (รับบทโดย เดซี เอ็ดการ์-โจนส์, Daisy Edgar-Jones) นักอุตุนิยมวิทยาผู้มีเซนส์ในการพยากรณ์การเกิดพายุ หลังจากทนหลอกหลอนในเหตุกานตรณ์ที่เธอสูญเสียเพื่อนและแฟนหนุ่มไปร่วม 10 ปีจนกระทั่ง ฮาวี (รับบทโดย แอนโธนี รามอส, Anthony Ramos) เพื่อนผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ๋สะเทือนใจมาขอให้เธอใช้พรสวรรค์ช่วยเขาตามหาโคตรพายุเพื่อทำทรีดีสแกนในกิจการใหม่ของเขา เพียงแต่ภารกิจครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงพวกเขาทั้งนั้นเพราะยังมี ไทเลอร์ โอเวนส์ (รับบทโดย เกล็น โพเวลล์, Glen Powell) ฉายาทอร์นาโดแรงเลอร์ ยูธูบเบอร์ที่ออกล่าท้าโคตรพายุเพื่อเก็บยอดวิวที่คอยขวางทางพวกเขาอยู่
สำหรับเรื่องราวใน ‘Twisters’ จะไม่ได้อิงจากนิยายของไมเคิล ไครช์ตัน (Michael Crichton) เหมือนหนังปี 1996 แต่ทีมเขียนบททั้ง โจเซฟ โคซินสกี (Joseph Kosinski) และ มาร์ค แอล สมิธ (Mark L. Smith) ก็ยังอุตส่าห์อ้างอิงชื่อ โดโรธี ที่เป็นเซนเซอร์พายุในหนังภาคแรกกลับมาปรากฎทั้งในรูปแบบเซนเซอร์ที่นางเอกใช้ในการปล่อยกลางพายุ และที่ถือว่าสร้างสรรค์มากมันยังอุตส่าห์เอาธีมของ ‘The Wizard of Oz’ มาใช้ต่อเนื่องตั้งแต่ระดับพื้นผิวอย่างทรีดีสแกนของฮาวี ก็แบ่งทีมเป็น 3 ทีมได้แก่ หุ่นไล่กา, หุ่นกระป๋อง และ พ่อมด (โดยแอบหยอดสิงโตเป็นโลโก้ข้างรถที่นางเอกขับ)
ไปจนถึงการกำหนดเป็นคาแรกเตอร์ของตัวนำทั้ง ไทเลอร์, ฮาวี และ เคต ซึ่งแต่ละตัวละครไป ๆ มา ๆ ก็ต่างคนต่างตามหาบางสิ่งแต่เราจะทิ้งเป็นปริศนาให้ไปดูกันเองนะครับว่า ใครเผยตัวตนว่าตัวเองมีสมองตอนเจอกับเคต ใครที่กำลังพิสูจน์ว่าไม่ใช่แค่หิวเงินแต่เขามีหัวใจที่ซ่อนอยู่ และใครกันที่กำลังตามหาความกล้าหาญที่หล่นหายมานาน เรียกได้ว่าแม้จะตอบได้ยากว่าหนังมีอะไรเชื่อมโยงกับ ‘Twister’ บ้าง แต่อย่างน้อยโดโรธี ที่เป็นเซ็นเซอร์และอาจจะพอแถให้มันเป็นตัวย่อของ ดาต้าอะไรซักอย่างของพายุก็ยังต้องอาศัยเหล่าหุ่นไล่กา หุ่นกระป๋องและสิงโตในการพามันบินสู่ใจกลางทอร์นาโดนั่นเอง
แม้ไม่ได้เชื่อมโยงกับหนังภาคแรกโดยตรงแต่การที่บทวางเรื่องราวกว่า 70 % ไล่ไปตามลู่ของหนังต้นฉบับ คือเริ่มจากเหตุการณ์ในอดีตของเคต ที่แทบจะถอดมาจากของตัวละคร โจ ใน ‘Twister’ นั่นคือการสูญเสียพ่อไปกับเฮอร์ริเคนจนเป็นแรงผลักให้เธอล่าพายุเพื่อปล่อยเซ็นเซอร์ แต่ตรงข้ามกับกรณีของเคตซึ่งก็คือการเลือกที่จะหนีจากฮาวีและทุกคนในครอบครัวไปทำงานในนิวยอร์ค ดังนั้นการตัดสินใจกลับไปร่วมล่าพายุกับฮาวีจึงน่ากังขาไม่น้อยเพราะถ้าไม่ใช่เรื่องข้อเสนอ (ซึ่งหนังก็ไม่พูดถึง) อะไรทำให้เธอฝืนภาวะพีทีเอสดี (PTSD) กลับไปร่วมเสี่ยงอันตรายครั้งนี้กันแน่
หรือกระทั่งการเจอกับ ไทเลอร์ โอเวนส์ ที่เหมือนจะเป็นร่างจำลองของ ดร. โจนาส มิลเลอร์ นักล่าพายุสายอุปกรณ์ไฮเทคในหนังภาคแรกทั้งความเกรียนและความเป็นยูธูบเบอร์สายบ้าดีเดือด รวมถึงความหลงตัวเองที่ดูเผิน ๆ คือต้องเป็นตัวร้ายของหนังภาคนี้แน่ ๆ แต่พอเอา เกล็น โพเวลล์ มาแสดงและในหนังตัวอย่างเองก็แอบสปอยล์ไปแล้วว่านี่คือพระเอกในภาคนี้ ความเซอร์ไพร์สหรือจุดเปลี่ยนที่หนังอยากให้เราว้าวก็เลยหายไปอย่างน่าเสียดาย แม้ว่าตัวละครไทเลอร์หรือทอร์นาโด แรงเลอร์จะเป็นตัวละครที่มีสีสันแค่ไหนก็ตาม
และในทางกลับกันหากไม่ได้มองแค่สีสันตัวละคร การกระทำของไทเลอร์ โอเวนส์ ยังดูไร้เหตุผลจนผู้ชมอย่างผมก็จับไม่ถูกว่าการล่าพายุของเขามีอะไรมากกว่าแค่การถ่ายคลิป และทำไมต้องขวางทางฮาร์วีกับเคต แม้หนังจะมีจุดพลิกผันที่ทำให้เราเห็นใจและมองไทเลอร์ เป็นฮีโร่ขึ้นมาได้ก็ตาม แต่หากหนังให้เวลากับกลุ่มของไทเลอร์ ค่อย ๆ บอกเหตุผลการกระทำหรือเฉลี่ยบทให้ผู้ชมได้รู้จักคนในทีมมากกว่าแค่เอามาเป็นตัวประดับแบบนี้เชื่อว่าทีมทอร์นาโด แรงเลอร์ของไทเลอร์ โอเวนส์ จะสร้างความผูกพันกับผู้ชมได้เหมือนที่เราเคยประทับใจตัวละครเพื่อน ๆ ของโจ ใน ‘Twister’ ที่เหมือนครอบครัวที่รักกันจนผู้ชมสัมผัสได้
กระนั้นก็ยังต้องยอมรับว่าภาพรวมของหนังทั้งการแบ่งส่วนดราม่า การกำกับฉากแอ็กชันที่ดูแล้วตื่นตาตื่นใจจนเซอร์ไพรส์ว่านี่คืองานกำกับของ อี ไอแซก จอง (Lee Isaac Chung) ที่เคยพา ‘Minari’ ไปเยือนเวทีออสการ์เมื่อ 2 ปีก่อน และจากโปรไฟล์การทำหนังของพี่จอง (ซี่งไม่ใช่พี่จอง คัลแลน ฮ่าาา) ก็น่าแปลกใจนะครับเพราะส่วนใหญ่ก็เป็นหนังแนวมนุษย์นิยม วิถีชีวิต ชาติพรรณเหมือนหนังดังของเขาที่กล่าวไป แต่นั่นก็น่าจะอธิบายได้ดีว่าทำไมพาร์ทดราม่าของเคตถึงได้ตราตรึงใจและพอจะทำให้ผู้ชมอยากเอาใจช่วยเธอจนตอนจบของหนัง
ด้านนักแสดงยอมรับล่ะครับว่า เดซี เอ็ดการ์-โจนส์ จาก ‘Where the crawdads sing’ กับ เกล็น โพเวลล์ จาก ‘Top Gun: Maverick’ นี่มองเพลินเป็นอายแคนดี้ (eye-candy) ที่เอาผู้ชมซะอยู่หมัดแถมการแสดงของทั้งคู่ก็ไม่ขี้เหร่เลยเรียกได้ว่าเป็นคู่ดาราหน้าใหม่ที่แจ้งเกิดในช่วง 2-3 ปีนี้ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง จะมีเสียดายก็คือการเอา เคียร์แนน ชิปการ์ (Kiernan Shipka) สาวหน้าหวานจากซีรีส์ ‘Chilling Adventures of Sabrina’ ทาง Netflix ที่อุตส่าห์ได้แสดงหนังฟอร์มยักษ์ก็ดันเป็นแค่ตัวประกอบซะงั้น
โดยภาพรวมต้องยอมรับว่า ‘Twisters’ ถือเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ที่ทำหน้าที่ตัวเองได้เป็นอย่างดี มีความสนุก วิช่วลเอฟเฟกต์คือเริ่ดตาแตกและพอจะสาแก่ใจแฟนหนังต้นฉบับปี 1996 ได้บ้างแม้จะแอบอกหักที่มันไม่ได้มีส่วนต่อขยายหรือพูดถึงหนังภาคแรกในองค์ประกอบของมันก็ตาม