แม้จะเป็นนักแสดงที่อยู่ในฮอลลีวูดมาอย่างยาวนานเกือบ ๆ 40 ปีแล้ว แต่บทบาทเด่นที่ผู้คนจำได้มากที่สุดของ วิกโก มอร์เทนเซน (Viggo Mortensen) นักแสดงและผู้กำกับรุ่นใหญ่ลูกครึ่งอเมริกัน-เดนิชวัย 65 ปี ก็คงหนีไม่พ้นการรับบทเป็น อารากอร์น (Aragorn) สมาชิกพันธมิตรแห่งแหวน (The Fellowship of the Ring) ในไตรภาคมหากาพย์แห่งมิดเดิลเอิร์ธ ‘The Lord of the Rings’
ซึ่งคนที่ติดตามเขามาโดยตลอดก็จะพอสังเกตได้ว่า นอกจากไตรภาคนี้ เขาก็มักจะรับงานหนังออริจินัลในหลากหลายบทบาท ที่เด่น ๆ ก็เช่น ‘Hidalgo’ (2004) และ ‘Green Book’ (2018) ที่ส่งให้เขาได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเวทีออสการ์ได้เป็นครั้งที่ 3 โดยที่แทบจะไม่ค่อยมีผลงานในหนังแฟรนไชส์อีกเลย
ในบทสัมภาษณ์ล่าสุดของนิตยสาร Vanity Fair เขาเองได้มีโอกาสเปิดเผยเหตุผลที่เขามักไม่ค่อยรับงานแสดงในหนังแฟรนไชส์ ที่นับเป็นเทรนด์ที่สตูดิโอหลายแห่งของฮอลลีวูดทำกันในปัจจุบัน เหตุผลง่าย ๆ ของเขาไม่ได้เป็นเพราะเขาไม่ชอบหนังแฟรนไชส์ เพียงแต่เขารู้สึกว่าบทหนังแฟรนไชส์ที่เขียนขึ้นไม่ได้ดีพอที่จะดึงดูดใจเขาก็เท่านั้นเอง
“ผมไม่ได้มองหาหรือจะหลีกเลี่ยงหนังแนวไหน ประเภทไหน หรืองบเท่าไรหรอกนะครับ ผมแค่ต้องการมองหาเรื่องราวที่น่าสนใจ สำหรับผม มันไม่สำคัญว่าหนังเรื่องนั้นจะเป็นแนวไหน ใช้ทุนสร้างเท่าไร หรือใครเป็นคนทำ ผมคงไม่รับเล่นหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงแค่เพราะว่าใครเป็นผู้กำกับ แต่มันจะต้องเป็นเพราะเรื่องราว และถ้าหากผมคิดว่าผมเหมาะกับตัวละครนั้น สิ่งนั้นแหละที่ต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก”
“และมันก็ใช้กับหนังแฟรนไชส์ได้เหมือนกัน ถ้ามีใครมาหาผมด้วยหนังภาคที่ 3 หรือภาคที่ 9 ของหนัง ก. และผมคิดว่ามันเป็นตัวละครที่ยอดเยี่ยม ผมอยากเล่นตัวละครตัวนั้น และผมคิดว่าน่าจะมีบางอย่างที่ผมจะสามารถเพิ่มเติมเข้าไปอีกได้ ผมก็จะทำ ผมไม่ได้ต่อต้านมันหรอก เว้นแต่ถ้าผมเงินหมดแล้วก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วมันมักจะแย่น่ะ มันมักจะเป็นอะไรที่คาดเดาได้ ในความคิดผมบทที่เขียนออกมาพวกนั้นมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
ก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นที่จดจำจากบทอารากอร์น มอร์เทนเซนเป็นนักแสดงที่มีผลงานอยู่ในฮอลลีวูดมาอย่างยาวนาน เขารับบทประกบ แฮร์ริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford) ในหนังทริลเลอร์นีโอ-นัวร์เรื่อง ‘Witness’ (1985) รับบทใน ‘The Indian Runner’ (1991) ผลงานกำกับเรื่องแรกของ ฌอน เพนน์ (Sean Penn) รับบทในหนังแอ็กชันทริลเลอร์ ‘Crimson Tide’ (1995)
แต่ใช่ว่าในตลอดชีวิตการแสดงของเขาจะไม่เคยรับงานแสดงในหนังแฟรนไชส์เลย เพราะเขาเคยปรากฏตัวในหนังแฟรนไชส์ดังมาแล้วถึง 2 ชุด ทั้งการรับบทในภาคต่อหนัง Slasher ในตำนาน ‘Leatherface: The Texas Chainsaw Massacre III’ (1990) และหนังอเมริกันคาวบอย ‘Young Guns II’ (1990)
แต่กว่าจะได้เข้าสู่มิดเดิลเอิร์ธ ผู้กำกับอย่าง ปีเตอร์ แจ็กสัน (Peter Jackson) เองไม่เคยมีภาพของมอร์เทนเซนในบทนี้มาก่อน แต่เป็นนักแสดงเบอร์ใหญ่อย่าง แดเนียล เดย์-ลูอิส (Daniel Day-Lewis) ที่ถูกเสนอบทนี้ให้ตั้งแต่แรกก่อนถ่ายทำ แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธ ส่วน นิโคลัส เคจ (Nicolas Cage) เองก็ปฏิเสธบทนี้ด้วยเช่นกัน
หวยจึงไปตกที่ รัสเซล โครว์ (Russell Crowe) นักแสดงสุดฮอตเจ้าของรางวัลออสการ์ในเวลานั้น แต่สุดท้ายเขาก็ปฏิเสธอีกเช่นกัน เพราะไม่อยากรับบทในคาแรกเตอร์ที่มีทรงคล้าย ๆ กับที่เขาเคยแสดงไปแล้วใน ‘Gladiator’ (2000) เวลาล่วงเลยจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงสุดท้ายก่อนการเริ่มถ่ายทำ โปรดิวเซอร์ที่ได้เห็นการแสดงของเขา จึงได้เลือกมอร์เทนเซนมาแสดง อีกคนที่สนับสนุนให้เขาตัดสินใจรับบทนี้ก็คือ ลูกชายของเขาที่เป็นแฟนหนังสือตัวยง
เนื่องจากมอร์เทนเซนถูกเรียกเข้ามาแคสติงอย่างกะทันหัน ทำให้เขามีเวลาเตรียมตัวก่อนการถ่ายทำเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น และเขาก็ไม่เคยอ่านหนังสือชุดนี้มาก่อน ทำให้เขาต้องเอาหนังสือติดตัวขึ้นไปอ่านบนเครื่องบินในระหว่างเดินทางไปยังโลเคชันถ่ายทำที่นิวซีแลนด์ แถมยังมีเวลาเรียนฟันดาบน้อยกว่านักแสดงคนอื่น ๆ
แต่ที่ทดแทนกันได้ก็คือการทุ่มเทกับการแสดงแบบทุ่มสุดตัว ตั้งแต่เรื่องเล็กน้อย ทั้งการถือดาบนาร์ซิลคู่ใจของอารากอร์นติดตัวไปทุกที่แม้แต่ตอนที่ไม่ได้ถ่ายทำ ฝืนถ่ายทำต่อทั้งที่บาดเจ็บ รวมทั้งมีส่วนร่วมในการแก้ไขชุดเครื่องแต่งกายของเขา จนทำให้แจ็กสันถึงกับเอ่ยปากชมถึงความทุ่มเทที่เขามีให้กับหนังเรื่องนี้ รวมทั้งการปรับตัวเพื่อรับบทอารากอร์นได้อย่างรวดเร็วจนตามทันคนอื่น ๆ ได้อย่างน่าชื่นชม
มอร์เทนเซนยังได้อธิบายแนวทางการสมดุลระหว่างโอกาสทางการเงิน และการรับเลือกเล่นในบทที่เขาสนใจ
“คือตราบใดที่ผมยังจ่ายค่าเช่า และทำให้ชีวิตส่วนตัวผมไปต่อได้ ผมก็ยังจะอดทนจนกว่าจะพบสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ และบางอย่างที่จะทำให้ผมได้เรียนรู้ ผมเคยเกือบคิดว่า ‘เอาล่ะ ผมคงต้องทำอะไรสักอย่าง บางทีผมอาจจะรับบทที่แค่พอใช้บ้างก็ได้มั้ง’ แต่ผมไม่ได้มีบริษัทใหญ่ที่ต้องดูแล ผมไม่ต้องมัวคิดว่า ‘ผมเล่นหนังเล็ก ๆ ไม่ได้หรอก ผมต้องรับเล่นหนังที่พวกเขาจะจ่ายเงินให้ผมได้เป็นล้าน ๆ’ ผมไม่เคยหางานด้วยวิธีนั้นเลย”
หลังจากที่จบเรื่องราวในไตรภาคไปแล้วอย่างสมบูรณ์ เรื่องราวบทใหม่ของตำนานแหวนครองพิภพก็กำลังจะเริ่มต้นเดินทางอีกครั้งในหนังสปินออฟ ‘Lord of the Rings: The Hunt for Gollum’ ที่จะได้ แอนดี เซอร์คิส (Andy Serkis) นักแสดงผู้รับบทเป็น กอลลัม หรือสมีกอล มาแสดงและกำกับด้วยตัวเอง โดยมีแจ็กสันรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ซึ่งจะมีกำหนดฉายในปี 2026
แน่นอนว่าหลายคนก็แอบรู้สึกอยากเห็นนักแสดงพันธมิตรแห่งแหวนกลับมา รวมทั้งอาจจะได้เห็นมอร์เทนเซนกลับมารับบทอารากอร์นอีกครั้ง เขาได้เปิดใจกับนิตยสาร GQ ของอังกฤษถึงการกลับมารับบทนี้ว่า เขายังคงยินดีที่จะกลับไปรับบท แต่มีเงื่อนไขเพียงอย่างเดียวก็คือ บทบาทและเรื่องราวนั้นจะต้องมีความสมเหตุสมผลด้วย
“ผมยังไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงนะครับ ผมยังไม่เคยได้ยิน บางทีสุดท้ายผมอาจจะได้ยินเรื่องนี้ในที่สุด ผมเองชอบการรับบทบาทนี้ ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการเล่นเป็นตัวละครนี้ ผมสนุกกับมันมาก ๆ แต่ผมจะรับเล่นก็ต่อเมื่อผมเหมาะสมกับบทนี้ ทั้งในแง่ของอายุของผมในตอนนี้และเรื่องอื่น ๆ ผมจะทำมันก็ต่อเมื่อผมเหมาะสมกับบทและตัวละครนั้น มันคงจะออกมาดูแย่ ถ้าหากผมรับเล่นบทที่มันดูไม่ค่อยเหมาะสม”