เรียกว่ามาแบบเงียบ ๆ แบบเกินคาด สำหรับ ‘Twisters’ ภาคต่อหนังระทึกขวัญพายุทอร์นาโดของ ’Twister’ (1996) ที่แม้ว่าจะเป็นภาคต่อแบบ Standalone ไม่ได้มีเนื้อหาเกี่ยวข้อง และไม่มีชุดนักแสดงจากภาคแรกกลับมาเลย แต่ก็นับว่าทำรายได้ในระดับที่ค่อนข้างน่าพึงพอใจ กำลังหมุนปั่นรายได้ทั่วโลกไปได้รวม 123 ล้านเหรียญ (~4,500 ล้านบาท) แล้ว ณ เวลานี้

ตัวหนังถือว่าได้รับคำชม โดยเฉพาะคู่เคมีนักแสดงพระนาง เกล็น พาวล์ (Glen Powell) และ เดซี เอ็ดการ์-โจนส์ (Daisy Edgar-Jones) ที่ผู้ชมยกให้เป็นอีก 1 คู่ขวัญของปีนี้ที่เติมความโรแมนติกท่ามกลางสถานการณ์เขย่าขวัญได้อย่างน่าสนใจ แต่ก็มีแฟน ๆ บางคนที่ไม่พอใจตัวหนัง เพราะก่อนหน้าที่หนังจะเข้าฉาย เคยมีคลิปเบื้องหลังของหนังที่เผยให้เห็นฉากที่เคตกับไทเลอร์จุมพิตกัน (แถมยังเป็นฉากสนามบินอีกต่างหาก) หลุดออกมาจากโลกอินเทอร์เน็ต

ฉากดังกล่าาวนี้ถูกชาวเน็ตคาดเดากันว่าน่าจะเป็นซีนที่อยู่ในฉากท้าย ๆ ของตัวหนัง จนทำให้หลายคนคาดหวังว่าอาจจะได้เห็นบรรยากาศรอมคอมในหนังด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง เพราะฉากนี้ถูกตัดออกไปจากตัวหนังที่ฉายจริง ซึ่งเกิดขึ้นจากการขัดเกลาของ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ผู้อำนวยการสร้างบริหารของสตูดิโอ Amblin Entertainment ที่เคยทำหน้าที่เดียวกันนี้ในภาคแรกนั่นเอง

Glen Powell, Lee Isaac Chung Daisy Edgar-Jones Twisters

3 นักแสดงนำทั้งพาวล์, เอ็ดการ์-โจนส์ และ แอนโธนี รามอส (Anthony Ramos) ได้ให้สัมภาษณ์กับ Collider ถึงไอเดียและเหตุผลการตัดฉากสำคัญของพ่อมดฮอลลีวูด

เอ็ดการ์-โจนส์: “ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นคำแนะนำจากสปีลเบิร์ก ใช่ไหมนะ ? รู้ไหมว่ามันหมายถึงอะไร ? ฉันคิดว่ามันเป็นการช่วยทำไม่ให้หนังมันซ้ำซากจำเจเกินไป และจริง ๆ แล้วฉันคิดว่ามันก็เป็นอะไรที่วิเศษมาก ที่ทำให้รู้สึกว่ามันยังมีเรื่องราวต่อไปอีก เรื่องราวของพวกเขามันยังไม่จบ พวกเขาถูกเชื่อมโยงเข้าหากันด้วยความหลงไหลในบางสิ่งบางอย่างร่วมกัน”

พาวล์: “ผมเองก็คิดว่า หนังเรือ่งนี้มันไม่ใช่เรื่องราวของการตามหาความรัก แต่มันเป็นการพาเคตกลับไปหาสิ่งที่เธอรัก นั่นก็คือการไล่ล่าพายุ นั่นคือสิ่งที่คุณจะได้เห็นในตอนท้ายของหนัง พวกเขามีสิ่งนี้ร่วมกัน และมันทำให้ความหลงไหล ความโหยหาของเธอมันกลับมาอีกครั้ง ผมเลยรู้สึกว่าการจูบกันมันคงไม่ใช่เป้าหมายที่เหมาะควรกับตอนท้ายของหนัง ซึ่งมันเกิดจากคำแนะนำของสปีลเบิร์ก นี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยังอยู่ในวงการมาได้ยาวนานขนาดนี้ มันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมากครับ”

‘Twisters’ เล่าเรื่องของ เคต คาร์เตอร์ นักอุตุนิยมวิทยาสาว และอดีตนักล่าพายุที่เคยเผชิญหน้ากับพายุทอร์นาโดสุดอันตรายจนเกิดเป็นบาดแผลฝังใจ จนกระทั่ง ฮาวี เพื่อนนักล่าพายุได้ชักชวนเธอให้กลับไปลงสนามล่าพายุอีกครั้ง จนทำให้เธอได้เจอกับ ไทเลอร์ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์นักล่าพายุผู้โด่งดังบนโลกอินเทอร์เน็ต พวกเขาจึงได้มีโอกาสร่วมผจญภัยไล่ล่าพายุที่เต็มไปด้วยอันตรายสุดจะคาดเดา

ในบทความเบื้องหลังการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ของ Entertainment Weekly ผู้กำกับ ลี ไอแซก ชุง (Lee Isaac Chung) เล่าว่า เขาได้ถ่ายฉากท้ายของหนังเอาไว้ทั้ง 2 แบบ คือฉากจูบและไม่จูบ แต่สุดท้ายฉากไม่จูบก็ถูกนำมาใช้ในตัวหนังฉบับไฟนอล ในขณะที่พาวล์เองแม้จะรู้สึกขัดใจ แต่ก็เข้าใจสิ่งนี้ได้ในท้ายที่สุด

“ผมเองรู้สึกน้อยใจนิดหน่อยครับ ตอนที่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้ใช้ฉากจูบฉากนั้น บางทีมันอาจจะเป็นเพราะความสามารถของผมก็ได้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ในขณะที่ไอแซก ชุงอธิบายถึงความรู้สึกอึดอัดคับข้องของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้รู้สึกอินกับการแสดงความรักอย่างโจ่งแจ้งในที่สาธารณะ หรือแม้แต่ในหนังอีกต่อไป “ผมรู้สึกว่าผู้ชมในสมัยนี้ มีมุมมองที่แตกต่างกันออกไปในแง่ของความต้องการอยากเห็น หรือไม่อยากเห็นฉากจูบ ผมลองใส่ฉากจูบลงไปแล้ว และมันทำให้ผู้ชมเสียงแตกกันจริง ๆ ซึ่งมันไม่ได้เป็นเพราะการแสดงฉากจูบของพวกเขา”

“ฉากที่ไม่มีการจูบ เป็นฉากตัวเลือกที่ผมถ่ายเอาไว้ในวันนั้น และผมบอกเลยว่าผมชอบอันนี้มากกว่า ผมคิดว่ามันเป็นตอนจบที่ดีกว่า และผมคิดว่าคนที่ต้องการฉากจูบ คงสามารถคิดต่อเอาเองได้ว่า เดี๋ยวยังไงพวกเขาก็คงต้องจูบกันในสักวันหนึ่ง และบางทีเราก็ควรให้ความเป็นส่วนตัวกับพวกเขาในเรื่องนั้น และในอีกด้านหนึ่ง ตอนจบแบบนี้เป็นวิธีที่จะทำให้เราปิดฉากเรื่องราวนี้ได้อย่างดีงามและน่าประทับใจได้ด้วย”

Glen Powell, Lee Isaac Chung Daisy Edgar-Jones Twisters

เอ็ดการ์-โจนส์: “มันเป็นความรู้สึกที่ดีและชื่นใจนะคะที่ไม่ต้องจบลงแบบนั้น เพราะสิ่งที่คุณจะได้เห็นตอนจบก็คือ คน 2 คนที่มีความรัก ความสนใจ ความฉลาด และความเข้าใจในสภาพอากาศที่เท่าเทียมกัน”

ไอแซก ชุง: “ถ้าจบด้วยฉากจูบ มันดูจะเหมือนกับว่า การจบลงด้วยการจูบกันคือสิ่งที่เคตต้องการให้เกิดขึ้นในการเดินทางของเธอ แต่แทนที่จะเป็นแบบนั้น มันจะดีกว่า ถ้าหากจะจบลงด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า จากการที่เธอสามารถทำในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ต่อไปได้”

ฉากการไม่จูบของพระนางในหนังเรื่องนี้ ชวนให้นึกถึงหนังฮอลลีวูดนับหลายร้อยหลายพันเรื่องที่มักจะสรุปเรื่องราวสุดท้ายด้วยการจุมพิตกันของพระนาง การไม่จูบในหนังเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่พาวล์มองว่าเป็นการตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงโทนของหนังฮอลลีวูดแบบที่คุ้นเคยกันมาอย่างยาวนาน

“ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไม ผู้คนต่างคิดว่าหนังมันต้องมีแนวแบบใดแบบหนึ่ง แต่จริง ๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น และสิ่งที่ผมค้นพบว่ามันสนุกมากเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ก็คือ คุณสามารถรู้สึกถึงการขึ้นลงของสีสันและสัมผัสที่แตกต่างกันออกไป หนังเรื่องนี้ถูกเล่าในหลายรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป มันเกือบจะเหมือนกับดนตรีเลย”