แม้ภาพรวมของหนังแฟรนไชส์หลายหัวเรื่องในตลาดภาพยนตร์ฮอลลีวูดจะไม่ได้เฟื่องฟูมากนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การสร้างจักรวาลภาพยนตร์ภายใต้จักรวาลเดียวกัน การสร้างภาคขยายหรือ Spin-Off จากเส้นเรื่องที่เป็น Canon หลัก หรือการดึงตัวละครหรือนักแสดงจากเส้นเรื่องหนึ่งข้ามไปอีกเส้นเรื่องหนึ่ง ถือเป็นกลยุทธ์ที่หลาย ๆ สตูดิโอและคนทำหนังหลาย ๆ คนนำมาใช้ในการนำเสนอสิ่งที่แปลกใหม่บนจอภาพยนตร์
แต่คงไม่ใช่กับ เจมส์ แมนโกลด์ (James Mangold) ผู้กำกับยอดฝีมืออีกคนของวงการ ที่แม้ครั้งหนึ่งเขาจะเคยกำกับหนังจากคาแรกเตอร์ลิขสิทธิ์ในแฟรนไชส์ ทั้ง ‘The Wolverine’ (2013) และ ‘Logan’ (2017) หนังในแฟรนไชส์ X-Men ของ 20th Century Fox ที่ได้รับคำชมล้นหลาม หรือแม้แต่ ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ (2023) ภาคล่าสุดของตำนานนักล่าขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า
แต่เขาเองได้ยืนยันในบทสัมภาษณ์ล่าสุดของ Rolling Stone ว่า เขาเองไม่ได้ชื่นชอบในการทำหนังที่มีลักษณะเป็นแฟรนไชส์ที่สานต่อเรื่องราวยาว ๆ เป็นจักรวาลมากนัก แมนโกลด์ตอบคำถามนี้ หลังจากที่ผลงานกำกับเรื่องล่าสุดของเขา ‘A Complete Unknown’ ซึ่งเป็นหนังที่ว่าด้วยชีวประวัติของศิลปินราชาเพลงโฟล์ก บ็อบ ดีแลน (Bob Dylan) ที่นำแสดงโดย ทิโมธี ชาลาเมต์ (Timothée Chalamet) จะมีศิลปินระดับตำนานอีกคนอย่าง จอห์นนี แคช (Johnny Cash) มาปรากฏตัวด้วย
ข่าวนี้ทำให้หลายคนคิดว่า ถ้าให้ วาคีน ฟีนิกซ์ (Joaquin Phoenix) ผู้ที่เคยรับบทเป็นแคช ใน ‘Walk the Line’ (2005) หนังรางวัลออสการ์ ผลงานการกำกับอีกเรื่องของแมนโกลด์ ข้ามมาปรากฏตัวในบทบาทเดิมอีกครั้งก็น่าจะเป็นเรื่องดี แต่แมนโกลด์กลับเลือก บอยด์ โฮลบรูก (Boyd Holbrook) นักแสดงจาก ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ มารับบทแคชแทน
แมนโกลด์อธิบายถึงการไม่พยายามจะใช้กิมมิกมัลติเวิร์ส ดึงเอาตัวละครหรือคาแรกเตอร์จากหนังคนละเรื่องมาเจอกัน เพราะเขามองว่าสิ่งนี้จะเป็นการทำลายการเล่าเรื่อง
“ผมไม่ทำหนังมัลติเวิร์ส และในหนัง จอห์นนี แคช น่าจะอายุราว ๆ 30 ปี ผมชอบวาคีนนะ แต่เขาไม่ได้อายุ 30 หรืออายุที่จอห์นนีอยู่ในช่วงเวลานั้นสักหน่อย ทั้งคู่เป็นคนหนุ่มสาวในช่วงเวลาชีวิตตอนนั้น อันที่จริง มันเป็นเรื่องที่ออกจะแปลกมากด้วยซ้ำ ที่ผมเคยได้ทำงานในโลกของเนื้อหาลิขสิทธิ์”
“เพราะผมไม่ชอบการสร้างจักรวาลที่มีภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง เพราะผมคิดว่ามันเป็นศัตรูของการเล่าเรื่อง เป็นความตายของการเล่าเรื่อง มันทำให้คนมัวแต่สนใจว่าเราจะเชื่อมโยงเรื่องราว (กับหนังเรื่องอื่น) กันอย่างไร แทนที่จะดูว่าการเล่าเรื่องของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรามันทำงานอย่างไร”
“สำหรับผมแล้ว เป้าหมายก็คือ อะไรล่ะที่จะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ และตัวละครเหล่านี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ? ไม่ใช่ทำให้คุณมัวแต่คิดถึงหนังเรื่องอื่น ๆ หรือมัวแต่หา Easter Egg หรือคาแรกเตอร์ลิขสิทธิ์ตัวอื่น ๆ ไม่ใช่การแสดงที่มีความสะเทือนอารมณ์ สำหรับผม ผมต้องการให้หนังมันทำงานในระดับที่สามารถสะเทือนอารมณ์ได้”
‘Logan’ น่าจะเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดถึงวิสัยทัศน์ของแมนโกลด์ ที่ต้องการทำให้เรื่องราวมีเอกภาพ เป็นหนังเดี่ยวที่มีเรื่องเล่าเป็นของตัวเอง แม้จะเป็นคาแรกเตอร์จากลิขสิทธิ์ก็ตาม หลังจากที่ร่วมงานกันใน ‘The Wolverine’ แมนโกลด์ได้เข้ามาดูแลเรื่องราวการปิดฉากตำนานของวูล์ฟเวอรีน รวมทั้งปิดฉากการรับบทครั้งสุดท้ายของ ฮิว แจ็กแมน (Hugh Jackman)
กลายเป็นเรื่องราวการเดินทางครั้งสุดท้ายของโลแกน ในช่วงเวลาที่ทรุดโทรม ต้องใช้ชีวิตดิ้นรนหลบ ๆ ซ่อน ๆ จากซูเปอร์ฮีโรที่เคยมีพลังเหนือมนุษย์ กลายเป็นตัวประหลาดที่ถูกไล่ล่า ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากคอมิก ‘Old Man Logan’ ที่ว่าด้วยยุคเสื่อมทรามของมิวแทนต์ในจักรวาลคู่ขนาน เป็นการผจญภัยที่แทบไม่มีการเชื่อมต่อเรื่องราว แทบไม่มี Easter Egg ใด ๆ จากจักรวาล X-Men เลยแม้แต่น้อย มีแต่เพียงเรื่องราว Road Movie และการต่อสู้สุดเข้มข้น ที่ปิดตำนานวูล์ฟเวอรีนในครั้งนั้นได้อย่างน่าประทับใจ
แมนโกลด์เคยย้ำวิสัยทัศน์การไม่ทำหนังขยายจักรวาลของเขากับ Variety เมื่อตอนที่เขากำกับ ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ ว่า เขาไม่มีความสนใจที่จะกำกับหนัง Spin-Off จักรวาลนั้นเด็ดขาด “ผมไม่มีความสนใจ ผมไม่เอาด้วย ผมทำไม่ได้จริง ๆ ทั้งปริมาณของเรื่องราว ทั้ง Easter Egg และ Fan Service มันเริ่มกลายเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับแนวคิดของผมในบางจุด มันไม่ใช่เป็นการเล่าเรื่องอีกต่อไปแล้ว แต่มันกลายเป็นแค่หนังโฆษณาขนาดใหญ่”
แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเขาจะปฏิเสธการกำกับหนังแฟรนไชส์เสียทีเดียว เพราะเขากำลังเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ‘Star Wars’ เขาเคยมีส่วนร่วมในการพัฒนาบท และกำกับภาพยนตร์ Spin-Off ของตัวละคร ‘Boba Fett’ ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนไปเป็นซีรีส์ในภายหลัง และเขาเองกำลังอยู่ในระหว่างพัฒนาเรื่องราวไตรภาคใหม่ที่จะย้อนกลับไปเล่าช่วงเวลาที่เจไดกำลังรุ่งเรือง และต้นกำเนิดแห่งพลัง ที่เกิดขึ้นหลายศตวรรษก่อนเหตุการณ์ในไตรภาคต้น (Prequel Trilogy)
ปี 2018 แมนโกลด์เคยเล่าถึงบรรดาแฟน ๆ ‘Star Wars’ มองหนังแฟรนไชส์นี้เป็นดั่งคัมภีร์ทางศาสนา ที่ไม่ควรถูกลบหลู่ดูหมิ่น และนั่นก็เป็นการเพิ่มความกดดันในการเขียนบทของเขาเอง
“ในจุดที่การเขียนและกำกับแฟรนไชส์ขนาดใหญ่ กลายเป็นสิ่งที่ท่วมท้นไปด้วยอารมณ์ เทียบเท่ากับการเขียนบทใหม่ของพระคัมภีร์ (พร้อมกับความเสี่ยงที่จะถูกขว้างด้วยก้อนหิน และถูกเรียกว่าเป็นผู้ดูหมิ่นศาสนา) และนักคิดผู้กล้าหาญหลายคน ก็จะปล่อยให้หนังเหล่านี้กลายเป็นของคณะกรรมการบริษัท และพวกที่ไร้ฝีมือไปแทน”
“การโจมตีบางครั้งก็มีความดุร้ายแบบผู้นับถือศาสนา และตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้ว เพราะสำหรับหลายคน เรื่องราวของ ‘Star Wars’ มีพลังทางจิตวิญญาณอย่างมาก ราวกับพระวจนะทางศาสนา แต่เราต้องจำไว้ว่า เราต้องพยายามจัดการกับความผิดหวังของเรา ในแบบที่โยดาพึงกระทำมากกว่าที่ดาร์ธจะพึงกระทำ”