กว่าที่คนคนหนึ่งจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงในฮอลลีวูด ล้วนต้องผ่านอุปสรรคนับร้อยพันอย่าง ไม่เว้นแม้แต่กับ ลอรา เดิร์น (Laura Dern) นักแสดงสาวรุ่นใหญ่ วัย 57 ปี ที่รู้จักกันจากบทบาท ดร. เอลลี แซทเลอร์ นักบรรพชีวินวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์ ใน ‘Jurassic Park’ (1993) หรือถ้าเป็นคนรุ่นใหม่จะจำเธอได้จากบทบาทพลเรือโทโฮลโด แม่ทัพสุดเฮี้ยบผมสีม่วง ผู้สละชีพปกป้องฝ่ายต่อต้านในตอนท้ายของหนัง ‘Star Wars: The Last Jedi’ (2017)
แม้ว่าเธอจะเคยมีผลงานการแสดงมาบ้างแล้ว แต่ชีวิตในอาชีพการแสดงของเธอก็ไม่ได้ง่ายเลย และครั้งหนึ่งเธอเคยถูกบังคับให้ออกจากมหาวิทยาลัย หลังจากเข้าเรียนในวิชาเอกจิตวิทยา และวิชาเอกการสื่อสารมวลชน ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส หรือ UCLA ได้เพียง 2 วัน เพียงเพราะการตัดสินใจลาเรียนไปแสดงหนังอาชญากรรมนีโอนัวร์ ‘Blue Velvet’ (1986) ที่นับเป็นหนังแจ้งเกิดของเธอในฮอลลีวูด
เดิร์นได้มีโอกาสเล่าเรื่องนี้ในระหว่างสัมภาษณ์กับพอดแคสต์ Where Everybody Knows Your Name
“ตอนนั้นฉันอายุ 17 ปี ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้เข้าเรียนที่ UCLA ฉันเข้าเรียนที่นั่นได้แค่ 2 วัน ก่อนที่ฉันจะออดิชัน และได้รับข้อเสนอให้รับบทในหนัง ‘Blue Velvet’ ฉันดีใจมาก ฉันเองเคารพ เดวิด ลินช์ (David Lynch) และทุกคนที่อยู่ในหนัง ‘Eraserhead’ (1977) และ ‘The Elephant Man’ (1980) ที่เขาเคยสร้างมามาก ๆ”
เดิร์นเล่าว่า เธอตัดสินใจติดต่ออาจารย์ และเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยเพื่อขอคำปรึกษาว่า เธอจะสามารถขอลาหยุดเพื่อไปถ่ายทำหนังเรื่องนี้ได้หรือไม่ แต่คำตอบที่ได้ก็คือปฏิเสธ แม้เธอจะพยายามแสดงออกถึงความตั้งใจในการเรียนให้จบตามหลักสูตรไปพร้อม ๆ กันมากแค่ไหนก็ตาม
“ฉันบอกกับอาจารย์ว่า ฉันจะกลับมาเขียนรายงาน ฉันจะกลับมาเรียนซ้ำทั้ง 2 วิชา ฉันจะจ้างติวเตอร์ ฉันจะตั้งใจเรียน ฉันจะส่งการบ้านกลับมาทางไปรษณีย์ ตอนนั้นยังไม่มีอินเทอร์เน็ตเหมือนในปัจจุบัน ฉะนั้นมันจึงยากมากที่จะทำอะไรต่าง ๆ ผ่านออนไลน์ ฉันจำได้ว่าฉันเคยบอกพวกเขาไป แต่สุดท้ายเธอก็ตอบกลับมาว่า ‘ไม่'”
นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จาก ‘Marriage Story’ (2020) เล่าต่อไปอีกว่า เพื่อต้องการแรงสนับสนุน เธอตัดสินใจถือบทภาพยนตร์ ‘Blue Velvet’ เพื่อเข้าไปขอคำปรึกษากับหัวหน้าภาควิชาภาพยนตร์ แต่ศาสตราจารย์ผู้เป็นหัวหน้าภาควิชากลับกล่าวกับเธอว่า
“ฉันบอกเขาว่า ‘ฉันได้รับโอกาสนี้มา และเขาก็ตอบว่า ‘โอเค ถ้าคุณจะให้ผมดูบท ผมก็จะดูบทให้ แต่คุณคงไม่ได้รับใบลาออกหรอกนะ มันเป็นไปไม่ได้เลย มันไม่ได้เป็นเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับการแพทย์”
หลังจากอ่านบทแล้ว เธอถูกเรียกตัวกลับไปที่สำนักงานของมหาวิทยาลัย ก่อนที่เธอจะได้คำตอบที่ไม่คาดคิด
“ก่อนอื่นเลย ถ้าหากคุณเลือกแบบนี้ คุณจะไม่ได้รับการต้อนรับจาก UCLA อีกต่อไป คุณจะต้องออกจากมหาวิทยาลัย และอีกอย่างก็คือ เมื่อได้อ่านบทนี้แล้ว การที่คุณคิดจะสละการศึกษาในมหาวิทยาลัยเพื่อสิ่งนี้ มันเป็นเรื่องที่บ้ามาก ๆ”
หลังจากมีผลงานการแสดงมาในระดับหนึ่ง เดิร์นในวัย 17 ได้รับบทบาทที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของเธอด้วยการรับบทเป็น แซนดี วิลเลียมส์ ใน ‘Blue Velvet’ หนังอาชญากรรมเซอร์เรียลนีโอนัวร์ เรต R เรื่องแรกของเธอ และผลงานการกำกับเรื่องที่ 4 ของลินช์ นำแสดงโดยเดิร์น, อิซาเบลลา รอสเซลลินี (Isabella Rossellini) และไคล์ แม็คลัคแลน (Kyle MacLachlan)
หนังเล่าเรื่องของเจฟฟรีย์ เด็กหนุ่มที่เดินทางจากมหาวิทยาลัย กลับมาบ้านที่รัฐนอร์ธแคโรไลนา เพื่อมาเยี่ยมพ่อที่ล้มป่วยกะทันหัน แต่สายตาของเขากลับพลันไปพบชิ้นใบหูของมนุษย์ตกอยู่บนสนามหญ้า เขาจึงนำไปให้ตำรวจเพื่อสืบสวนต้นตอ
แต่แซนดี วิลเลียมส์ ลูกสาวของตำรวจสืบสวน จอห์น วิลเลียมส์ กลับให้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับโดโรธี นักร้องสาวในไนต์คลับ เจฟฟรีย์จึงตัดสินใจเดินทางไปยังอะพาร์ตเมนต์ของโดโรธีเพื่อเดินเกมสืบสวนสอบสวนที่มาของใบหูปริศนาด้วยตัวเอง ก่อนที่เขาจะพบกับความชั่วร้ายสุดเซอร์เรียลที่แฝงอยู่ในบรรยากาศชานเมืองอันสงบสุขแบบอเมริกันชน
หลังจากผิดหวังกับผลงานกำกับหนังฟอร์มยักษ์ ‘Dune’ (1984) ลินซ์กลับมาทำงานที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และนับเป็นการกลับมาแก้มือได้สำเร็จ เป็นหนังที่ได้รับคำวิจารณ์ชื่นชมในทางที่ดี การแสดงของนักแสดงนำทั้งรอสเซลลินี, แม็คลัคแลน และเดิร์นได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ เป็นหนังเรื่องที่ 2 ในชีวิตของเขาที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยม
และยังเป็นหนังที่แจ้งเกิดให้เดิร์นเป็นที่รู้จักในฮอลลีวูดมากขึ้นในเวลาต่อมา ก่อนที่เดิร์นและลินซ์จะได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งใน ‘Wild at Heart’ (1990) หนังดราม่าอาชญากรรมที่เธอแสดงนำร่วมกับ นิโคลัส เคจ (Nicolas Cage)
เดิร์นกล่าวทิ้งท้ายอย่างเข้าใจถึงความหวือหวาของบทหนังที่เป็นเรต R ที่เต็มไปด้วยคำหยาบคาย มีการแสดงภาพเปลือย มีฉากการใช้ยาเสพติด มีภาพเลือด ฉากน่ากลัว และความรุนแรง แต่สิ่งที่เธอดูจะไม่ค่อยเข้าใจก็คือตลกร้ายที่ในท้ายที่สุดหนังเรื่องนี้ก็ถูกเลือกเข้าไปอยู่ในโปรแกรมสอนวิชาภาพยนตร์ ในหลักสูตรปริญญาโทของ UCLA เสียอย่างนั้น
“แน่นอนว่ามันเป็นบทหนังที่น่าตกใจอย่างมาก ฉันจะจบเล็กเชอร์ด้วยการบอกว่า หลังจาก 2 วันนั้นของฉัน ทุกวันนี้ ถ้าคุณจะต้องการเรียนปริญญาโทด้านภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยนี้ ตอนคุณเขียนวิทยานิพนธ์ มีหนัง 2-3 เรื่องที่คุณต้องดูเพื่อศึกษา และคุณรู้ไหมว่า 1 ในนั้นคือเรื่องอะไร ? มันทำให้ฉันโคตรจะโกรธเลย…”