หากย้อนกลับไปช่วงยุค 2000 จอช ฮาร์ตเน็ตต์ (Josh Hartnett) ถือเป็นนักแสดงหนุ่มอีกคนที่มีผลงานการแสดงหลากบทบาทออกมาเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะทั้งบทนำและบทสมทบ ก่อนที่เขาจะกลับมาในฐานะนักแสดงหนุ่มใหญ่ที่มีผลงานในฮอลลีวูดมากขึ้น ซึ่ง 1 ในผลงานยุคหลังของเขาก็คือการรับบทเป็น เออร์เนสต์ ลอว์เรนซ์ (Ernest Lawrence) ในหนัง ‘Oppenheimer’ (2023) หนังชีวประวัติเจ้าของ 7 รางวัลออสการ์
ฮาร์ตเน็ตต์ได้ให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับ จิมมี ฟอลลอน (Jimmy Fallon) ในรายการ The Tonight Show Starring Jimmy Fallon เพื่อโปรโมตผลงานการแสดงล่าสุดของเขาใน ‘Trap’ หนังทริลเลอร์เรื่องใหม่ของผู้กำกับสายระทึก เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน (M. Night Shyamalan) ที่เขาต้องรับบทเป็นคูเปอร์ ฆาตกรต่อเนื่องฉายา เดอะ บุตเชอร์ ที่ต้องหนีเอาตัวรอดจากตำรวจ 300 นาย ที่ตามไล่ล่าตัวเขาในคอนเสิร์ตที่มีผู้ชมจำนวนกว่า 30,000 คน
ฮาร์ตเน็ตต์ได้มีโอกาสเล่าถึงเบื้องหลังการทำงานขำ ๆ ของเขาใน ‘Oppenheimer’ ร่วมกับเพื่อนนักแสดงของเขาอย่าง แมตต์ เดมอน (Matt Damon) ผู้รับบทเป็น พลโท เลสลี โกรฟ (Leslie Groves) ผู้อำนวยการโครงการ Manhattan Project โดยนักแสดงวัย 53 ที่ผ่านงานการแสดงมาก่อนอย่างเดมอน ได้ให้คำแนะนำในการแสดงแก่ฮาร์ตเน็ตต์มากมาย แต่ดูจะมีคำแนะนำหนึ่งที่มาช้าไปหน่อย เลยเป็นคำแนะนำที่ดูไม่ค่อยจะมีประโยชน์สักเท่าไร
“ผมใช้เวลาอยู่กับลุงแมตต์เยอะมากครับ เขาช่วยเหลือและให้คำแนะนำดี ๆ กับผมเยอะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำแนะนำอันหนึ่งที่ไม่ได้ช่วยอะไรผมเท่าไหร่ เขาบอกผมว่า อย่าเพิ่มน้ำหนักตัวจากที่มีอยู่เพื่อรับบทนี้เป็นอันขาด”
“แต่ว่าตอนที่ผมได้บท ผมเพิ่มน้ำหนักตัวเองขึ้นไปประมาณ 30 ปอนด์ (13 กิโลกรัม) เพื่อจะรับบทนี้ แล้วเขาก็บอกกับผมว่า ‘นายจะลดน้ำหนักไม่ได้อีกแล้วนะเว้ยเพื่อน’ อย่าเพิ่มน้ำหนักตัวเกิน 40 ปอนด์ (18 กิโลกรัม) เชียวนะ”
ในยุค 2000 ฮาร์ตเน็ตต์เป็นนักแสดงหนุ่มหล่อเจ้าบทบาท ที่มีผลงานการแสดงทั้งในหนังอินดี้ หนังบล็อกบัสเตอร์ และเป็นนักแสดงที่มีผลงานทั้งการรับบทนำ บทสมทบแบบไม่เลือกที่รักมักที่ชัง อาทิ ‘The Virgin Suicides’ (1999), ‘Pearl Harbor’ (2001), ‘Black Hawk Down’ (2001), ‘Sin City’ (2005) ฯลฯ
จนกระทั่งเขาตัดสินใจหลบแสงสีฮอลลีวูด และย้ายจากลอสแองเจลิส กลับไปใช้ชีวิตในบ้านเกิดที่รัฐมินนิโซตา พร้อมกับการยกเลิกสัญญากับตัวแทนของเขา เนื่องจากต้องการหลีกหนีความวุ่นวายและปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดขึ้นในชีวิตการเป็นนักแสดง และหลังจากหยุดรับงานการแสดงนานกว่า 18 เดือน เขาเริ่มกลับมามีผลงานการแสดงในซีรีส์ ‘Black Mirror’ และรับแสดงหนังจากบทบาทที่เขาสนใจ โดยไม่สนในว่าจะเป็นหนังอินดี้หรือบล็อกบัสเตอร์
ฮาร์ตเน็ตต์เคยให้สัมภาษณ์กับ The Guardian เกี่ยวกับความเบื่อหน่ายแสงสีในฮอลลีวูด ที่เริ่มต้นเมื่อตอนที่เขาอายุ 27 ปี เขาเคยถูกชายคนหนึ่งสะกดรอยตามเขาในงานรอบปฐมทัศน์และที่บ้านของเขาพร้อมอาวุธปืน ก่อนจะถูกจับกุมได้ในที่สุด ซึ่งทำให้เขาตระหนักว่า ไม่อยากจะจมอยู่กับชื่อเสียง และไม่อยากจะเป็นภาระให้กับใคร เขาตัดสินใจพาภรรยา และลูก ๆ 4 คน ย้ายบ้านอีกครั้งไปอยู่ในฟาร์มเล็ก ๆ ในชนบทของเมืองแฮมป์เชอร์ ประเทศอังกฤษจนถึงปัจจุบัน
นักแสดงผู้เคยปฏิเสธบทบาทซูเปอร์แมนถึง 2 ครั้ง ทั้งในฉบับรีบูต ‘Superman Returns’ (2006) และโปรเจกต์ ‘Superman: Flyby’ ที่ไม่ได้ถูกสร้าง เคยเกือบจะได้ร่วมงานกับ เซอร์ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Sir Christopher Nolan) ที่เคยเรียกเขามาเจรจาเพื่อรับบทเป็นแบทแมนในไตรภาค ‘The Dark Knight’ และเคยเสนอตัวเพื่อรับบทในหนังทริลเลอร์มายากล ‘The Prestige’ (2006)
แต่สุดท้ายเขาก็เสียทั้ง 2 บทบาทให้กับ คริสเตียน เบล (Christian Bale) ไป จนกระทั่งในอีกหลายปีต่อมา โนแลนได้โทรมาชวนเขาให้มารับบทนักฟิสิกส์นิวเคลียร์ ผู้คิดค้นเครื่องเร่งอนุภาคซินโครตรอน ใน ‘Oppenheimer’ ในเวลาต่อมา
ในบทสัมภาษณ์เดียวกัน ฮาร์ตเน็ตต์ยังเล่าถึงคำแนะนำเพิ่มเติมจากเดมอนเกี่ยวกับการจัดการน้ำหนักตัวที่ดูจะเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด
“เขาบอกประมาณว่า ‘นายจะต้องใช้เวลาที่เหลือในชีวิตพยายามลดน้ำหนักนั่น แต่มันก็จะไม่ลดลงเลย เพราะร่างกายของนายมันจะพยายามจะเพิ่มน้ำหนักนั้นกลับมา นายจะพยายามลดมัน แต่สุดท้ายมันก็จะกลับมาอีก’ แล้วเขาก็พูดแบบนี้กับผมอยู่เรื่อย ๆ ตลอดการถ่ายทำเลย”
“ผมก็แบบว่า ‘ขอบใจมาก ๆ เลยแมตต์ ขอบใจที่บอกฉันตอนนี้นะ ตอนที่น้ำหนักมันขึ้นแล้วน่ะ’ และตอนนี้ผมก็ไม่กล้ากินอะไรแล้ว โคตรจะแย่เลย”