และแล้ววาระพิเศษของชาว Disney ก็มาถึงในอีกวาระหนึ่ง นั่นก็คืองาน D23 Expo งานอีเวนต์พิเศษประจำปี ที่ปีนี้ใช้ชื่องานว่า D23: The Ultimate Disney Fan Event presented by Visa ซึ่งในทุก ๆ ปีจะเป็นการเปิดบ้านเพื่อโชว์คอนเทนต์ใหม่ ๆ ของบริษัทในเครือเอาไว้รวมกัน ไล่ตั้งแต่บ้านของ The Walt Disney Studios ที่มีทั้งแอนิเมชันและไลฟ์แอ็กชัน รวมทั้งบริษัทในเครือทั้ง Pixar, Marvel Studios, Lucasfilm และ 20th Century Studios ที่จัดขึ้นในวันที่ 9-11 สิงหาคม ณ Anaheim Convention Center เมืองลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา
โดยในวันแรกของงาน D23 ในปีนี้ นอกจากการเปิดตัวคอนเทนต์และไตเติลใหม่ ๆ แล้ว สิ่งที่เป็นอีกไฮไลต์ก็คือ การขึ้นเวทีของ บ็อบ ไอเกอร์ (Bob Iger) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนปัจจุบันของ The Walt Disney Company โดยในครั้งนี้ ไอเกอร์ได้ขึ้นมากล่าวถึงความแตกต่างของ Disney ในฐานะผู้นำด้านการเล่าเรื่อง และนวัตกรรมสร้างสรรค์ระดับโลกอย่างที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้
ไอเกอร์ได้กล่าวต่อผู้เข้าร่วมงานบนเวทีที่ Honda Center ว่า “นอกจาก Disney แล้ว จะมีใครอีกล่ะที่จะสามารถจัดงานสุดสัปดาห์แบบ D23 ได้ ? สายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของเรากับแฟน ๆ ที่ได้สร้างขึ้นมายาวนานกว่าศตวรรษผ่านการเล่าเรื่องนั้น ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าที่เคยในวันนี้ ด้วยพลังที่ไม่มีใครเทียบได้ จากสตูดิโอแห่งความคิดสร้างสรรค์ของเรา ความน่าดึงดูดใจอันล้นหลามที่มีต่อแบรนด์และแฟรนไชส์ของเรา และวิธีการที่เรานำเอาเรื่องราวของเรามาสู่ชีวิตจริงภายในสวนสนุก และในประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เรามี”
“แม้ว่าแต่ละหน่วยธุรกิจของเราจะดูมีความแตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกมันช่วยส่งเสริมกันและกัน ในแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของ Disney เอง ธุรกิจเหล่านี้ล้วนถูกผูกมัดด้วยภารกิจที่มีร่วมกัน นั่นก็คือ การเล่าเรื่องอันยอดเยี่ยม และนำเรื่องราวเหล่านั้นมาสู่พวกคุณด้วยวิธีการอันทันสมัย เหมาะสม และน่าดึงดูดใจอย่างที่สุด”
พร้อมกันนี้ เขายังกล่าวย้ำว่า โลกต้องการความบันเทิง และอาจจะยิ่งกว่าที่เคยเป็นด้วยซ้ำในตอนนี้
“เราให้ความสำคัญกับการรับผิดชอบเรื่องนั้นอย่างจริงจัง เรารู้สึกขอบคุณทุกช่วงเวลา ทุกความทรงจำที่เรามีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่ง และเรารู้สึกขอบคุณพวกคุณ ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราสร้างขึ้น และเชิญชวน Disney เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณอย่างลึกซึ้ง”
ไอเกอร์ยังกล่าวแทนทุก ๆ คนในบริษัท รวมทั้งยังพูดในเชิงอ้อม ๆ ว่า ภารกิจหลังจากนี้ของ Disney คือการสรรค์สร้างคอนเทนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยความบันเทิงเป็นหลัก โดยไม่มีวาระอื่นใดแอบแฝง
“ไม่มีสิ่งใด ๆ ที่เรารักไปมากกว่าการสร้างความบันเทิงให้กับคุณ ทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้น ประหลาดใจ และเติมเต็มหัวใจของคุณด้วยความสุข และความมหัศจรรย์เหล่านั้น และหากเรารู้ว่า เราสามารถทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นได้ นั่นหมายความว่า เรากำลังนำพางานของเรามาได้อย่างถูกทิศทาง”
ในปี 2023 ที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีหนังบางเรื่องที่สามารถทำกำไรได้อย่างดี แต่โดยรวม บริษัทต้องเผชิญกับการขาดทุนด้วยจำนวนเม็ดเงินมากถึง 4,000 ล้านเหรียญ อันเกิดจากนโยบายการผลิตคอนเทนต์ด้วยปริมาณที่มากเกินไป โดยเฉพาะการผลิตคอนเทนต์เพื่อป้อนแพลตฟอร์มสตรีมมิง Disney+ ของตนเอง ซึ่งนำมาสู่การปรับเปลี่ยนนโยบายของบริษัทที่ต้องการมุ่งเน้นให้เกิดการควบคุมการตัดสินใจด้านสร้างสรรค์ให้สอดคล้องกับงบประมาณ ซึ่งจะทำให้ได้คอนเทนต์ที่มีคุณภาพมากกว่าปริมาณ
นอกจากนี้ ไอเกอร์ต้องการให้ความสำคัญกับคอนเทนต์ที่มีความบันเทิงในเชิงบวกมากขึ้น และปรับลดการสอดแทรกเนื้อหาในเชิงการทำสงครามวัฒนธรรม (Culture Wars) ให้น้อยลง หลังจากที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา Disney ตกเป็นเป้าในการวิพากษ์วิจารณ์ในการสอดแทรก และยัดเยียดความ Woke ทั้งประเด็นความหลากหลายทางเพศ สีผิว เชื้อชาติ ฯลฯ เอาไว้ในคอนเทนต์ต่าง ๆ ของบริษัท ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า การขับเคลื่อนสงครามวัฒนธรรมนี้ จะก่อให้เกิดผลเสียต่อธุรกิจของบริษัททั้งในด้านภาพลักษณ์และในแง่ของรายได้
ตอนท้าย ไอเกอร์ได้กล่าวสรุปถึงความคิดสร้างสรรค์จำนวนมหาศาลของ Disney ที่จะนำความสุขมาสู่ผู้คนทั่วโลกที่ยังมีความเป็นเด็กอยู่ในหัวใจ
“สำหรับผม งาน D23 เปิดโอกาสให้ Disney ได้เปิดม่าน และให้แฟน ๆ ได้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ ทักษะ และนวัตกรรมจำนวนมหาศาล ที่ขับเคลื่อนบริษัทที่ยอดเยี่ยมของเรา”
“นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับผมที่ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำของบริษัทที่น่าทึ่งเช่นนี้ ที่ได้นำความสุขมาสู่ผู้คนมากมายทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ๆ หรืออย่างที่คุณวอลต์ ดิสนีย์หมายถึงคนที่ยังมีความเป็นเด็กอยู่ในหัวใจ เรามีหลายสิ่งที่น่าภูมิใจ และยิ่งกว่านั้นอีกมากที่รอคอยอยู่ในอนาคต”