เป็นแอนิเมชันที่ยอมรับตามตรงว่าตอนดูทีเซอร์ที่ตัดออกมาในตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกติดใจอะไรกับมันเท่าไหร่ จนกระทั่งมาสะดุดกับข้อความที่ระบุไว้ว่า ‘แอนิเมชันที่เด็กไม่ควรดู แต่ผู้ใหญ่ไม่ควรพลาด’ ในความหมายของแอนิเมชันเรท R คือจากที่มองผ่าน ๆ ครั้งสองครั้ง เห็นพระนางเป็นไส้กรอกและขนมปังฮ็อทด็อก มันก็มีความหมิ่นเหม่ที่จะคิดไปในทางสัปดนอยู่แล้ว (ฮา) แต่จุดที่มันน่าสนใจอยู่เล็กๆ จากที่เห็นหน้าหนังคือ มันดูฉีกออกไปดีนะ ดูมี passion ดี โจทย์คือมันจะเล่ายังไงกับการดึงเอาอาหารในซุปเปอร์มาร์เก็ตมาเดินเรื่องให้มันน่าสนใจ แน่ล่ะว่าไอเดียนี้เชื่อว่าเราตอนเด็ก ๆ ก็คงเคยจินตนาการว่าไอ้โน่นไอ้นี่มันก็น่าจะมีชีวิตเหมือนกันนะ แต่นั่นแหละพอมาเป็นหนังการ์ตูน ทำยังไงให้มันดูน่ารักขึ้นมาได้ เพราะแคแร็คเตอร์มันเป็น ‘อาหาร’ ซึ่งคนส่วนใหญ่อาจไม่ค่อยมีภาพแคแร็คเตอร์ของมันอยู่ในใจ ไม่เหมือนกับ ‘สัตว์’ ที่มันทำให้คน ‘อิน’ ง่ายมากที่จะหลงรักมันเหมือนแอนิเมชันหลาย ๆ เรื่อง
จุดที่น่าสนใจเลยก็คือโปรเจ็กต์นี้ได้นักแสดงหนุ่มจอมเกรียนอย่าง เซ็ธ โรแกน มาหน้าที่โปรดิวเซอร์และเขียนบท แถมรับบทพากย์เป็นพระเอกหนุ่มไส้กรอกฮ็อทด็อกที่ชื่อ ‘แฟรงค์’ ด้วย ซึ่งวีรกรรมที่เขาเคยฝากไว้ทั้งใน Green Hornet, The Interview รวมทั้ง Bad Neighbors 2 ประกอบกับการมาผนึกกำลังร่วมกับทีมพากย์ที่มาจากนักแสดงสายฮาอย่าง โจนาห์ ฮิลล์, คริสเตน วิก, ซัลมา ฮาแยก, เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, เจมส์ แฟรนโก, บิล เฮเดอร์ และ พอล รัดด์ ก็ทำให้ส่วนตัวเตรียมใจมาแล้วว่าไอ้การ์ตูนปาร์ตี้ไส้กรอกเนี่ย ไม่น่าพลาดฉากเสื่อมๆ จิต ๆ ทำการ์ตูนเสียเด็กมาให้เห็นแน่ ๆ (ฮา)
เนื้อหาหลักมันเป็นเรื่องของเหล่าอาหารและวัตถุดิบในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่พวกมันมีความเข้าใจว่า การถูกหยิบออกจากเชลฟ์วางของนั้นคือการถูกเลือกจากทวยเทพ (หรือมนุษย์นั่นเอง) และทวยเทพจะพาพวกมันไปยังดินแดนอันเป็นนิรันดร์ที่จะทำให้พวกมันเป็นอมตะ แต่ความจริงอันแสนโหดร้ายหาเป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อมารู้ว่าพวกมันแค่กำลังจะถูกเอาไปประกอบอาหารเท่านั้น ซึ่งหนุ่มไส้กรอก แฟรงค์ ที่ได้รู้ความจริงนั้นพยายามจะเตือนเพื่อน ๆ รวมทั้ง แบรนด้า (คริสเตน วิก) แฟนสาวขนมปังฮ็อทด็อกของเขาให้หันมาหาวิธีเอาตัวรอดจากการเป็นอาหารของมนุษย์ให้ได้
แค่เพียงเริ่มต้นได้ไม่เท่าไหร่ Sausage Party ก็เริ่มแผลงฤทธิ์ออกลายมาแล้ว ซึ่งประเด็นเรื่องใต้สะดือนั้นกลายเป็นพาร์ทหลักของตัวแอนิเมชันไปเลย เคยได้ยินมุขแอบจิตนิด ๆ ประเภทเจอคนสวยนั่งอยู่แล้วเราอยากเป็นเก้าอี้ หรือว่าอยากเป็นน้องหมาที่เธอกอดแนบอกอยู่ไหม หนังมันก็หยิบมาเล่นในแนวทางนั้นแหละ แต่ว่า ‘จังไร’ กว่ากันเยอะ (ฮา) dialog บทสนทนาแบบติดเรต จนเอนเอียงมาทางแนวเซ็กซ์โฟน ความที่ตัวการ์ตูนแต่ละตัวค่อนข้างมีความ dark ตัวการ์ตูนเล่นยา ด่าหยาบ เอะอะก็เข้าเรื่องใต้สะดือ แต่มันมีลูกเล่น มีลูกล่อลูกชน มันเลยไม่เลี่ยน ความที่มันไปได้อิสระ ไม่มีกรอบ กล้าเล่น กล้าใส่มาให้ดู จนหลายฉากเราต้องคิดว่า ‘เอาแบบนี้เลยเรอะ!?’
อีกส่วนหนึ่งที่เห็นได้ชัดในหนังการ์ตูนเรื่องนี้เลยก็คือ มันมีจังหวะจะโคนในการสอดแทรกประเด็นเสียดสีสังคมอเมริกันได้เจ็บแสบ เหน็บแหนมไปยันศาสนารวมทั้งปรัชญาห่าเหวแบบไม่ไว้หน้า รวมทั้งล้อเลียนสำเนียงภาษาอังกฤษของพวกเม็กซิกันและพวกแขกแบบเบาๆ พอขำขัน การใช้แคแร็คเตอร์เป็นอาหารประจำชาติมาเล่นรวมทั้งเสียงพากย์ที่แคสกันมาดีก็ทำให้ตัวละครมีมิติ ทั้งตลกและสัปดนแบบไม่ติดขัด บางช่วงอาจมียืดเยื้อจนน่าเบื่อทำเอาเกือบหลับไปบ้าง แต่มุขประเภท dirty joke มากมายที่มีโอกาสหนังก็ใส่มาเรื่อย ๆ รวมทั้งความที่มันแอบโหดร้ายและทารุณ เน้นความสะใจ ซาดิสต์ปนสยองนิด ๆ ทำให้คนดูยังไม่หลุดไปจากนั้น หลายฉากเรายังต้องอ้าปากค้าง ขนาดคนดูในโรงที่เป็นผู้ใหญ่โตๆ กันแล้วถึงขนาดอุทานมามีทั้งระดับ ‘เหี้ยมมาก’ ไปจนถึง ‘โคตรเหี้ยม’ เลยทีเดียว (ฮา)
Sausage Party หากมองในมุมที่ผู้กำกับจะสื่อสารในแบบจิกกัดและเสียดสี มันก็เป็นเมสเซจในแบบฉบับของความแอนตี้มนุษย์ สังเกตได้ว่าตัวหนังเสียดสีจริตของคนในสังคมเอามาล้อในหนังอยู่เรื่อยๆ มันเป็นหนังที่ยืนตรงข้ามกับคำว่าโลกสวยแต่กลับกันสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่โค(ตร)ขยันหลอกตัวเอง ไอ้ประเภทป้ายโลโก้ร้านอาหารที่มีทั้ง ไก่ หมู หรือวัวมายกนิ้วโป้งบอกว่าร้านนี้อร่อย หรือเนื้อเกรดดี นั่นแหละมันช่างแตกต่างกับเวลาไปดูที่โรงเชือดเลย ตัวละครอาหารเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนเป็นตัวละครสมมติที่ออกมาจัดการ แก้แค้นมนุษย์ในแบบที่ผู้กำกับอยากจะให้มนุษย์อยู่ในสภาวะถูกเย้ยหยันเป็นเบี้ยล่างบ้าง ซึ่งจะสัปดน จะดาร์กแค่ไหน พอมาอยู่ในสภาพตัวการ์ตูนแอนิเมชันแล้วมันก็ดู soft ลงและไม่มีดราม่า แต่อาจทำให้คุณรู้สึกไม่อยากกินไส้กรอกไปอีกพักใหญ่ (ฮา)
อย่างไรก็ตาม แนวทางของ Sausage Party อาจทำให้มันประสบความสำเร็จในแง่การตลาด โดยเฉพาะการเล่นกับกระแส แม้พล็อตเรื่องมันแทบไม่มีอะไร แต่ความที่ไม่มีกรอบของมันที่ทำให้ตัวละครเรื่องนี้มันทำได้ทุกอย่าง และถ้าเราไม่อิงใจไปตามกระแสบนโซเชียลจนเกินไปนัก มันอาจทำให้เรามองข้ามรายละเอียด และความฉลาดในการเล่า ความลึกล้ำในการนำเสนอหลายจุดที่ทำได้น่าสนใจภายใต้ความอุบาทว์สัปดนนั้น ซึ่งเป็นจุดที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้ผมไม่น้อย เพราะหากถามถึงความสนุก มันให้ความบันเทิง มันฮา มันเอนเตอร์เทน อาจไม่ได้ดีเลิศหรือเหนือชั้นอะไร แต่มันก็มีความ ‘สุด’ ของตัวมันเองแล้ว