งาน D23 ปีนี้ นอกจากพิธีบนเวทีใหญ่ที่มีการประกาศไลน์อัปหนังใหม่ หรือเผยโปรเจกต์แห่งอนาคตแล้วนั้น ยังมีเวทีเสวนาพิเศษของเหล่าผู้บริหารสตูดิโอดิสนีย์ ที่มาร่วมพูดคุยกับสื่อมวลชนกว่า 105 ชีวิตจากทั่วโลก เพื่อส่งต่อวิสัยทัศน์และแย้มอนาคตของดิสนีย์ในฝั่งเอนเทอร์เทนเมนต์ ต้องบอกก่อนว่าทีมงานของ BT BUZZ ได้มีโอกาสร่วมฟังวงเสวนานี้ระยะเผาขน แต่ละคนถือเป็นตัวตึงของวงการหนังทั้งนั้น นำโดย อลัน เบิร์กแมน (Alan Bergman) ประธานบริหารร่วมของดิสนีย์ และผู้ดูแลภาพรวมของสตูดิโอทั้ง 7 ของ Disney Entertainment, พีต ด็อกเตอร์ (Pete Doctor) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสร้างสรรค์ของ Pixar, เจนนิเฟอร์ ลี (Jennifer Lee) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสร้างสรรค์ของ Walt Disney Animation Studios, เควิน ไฟกี (Kevin Feige) ประธาน Marvel Studios และ แคทลีน เคนเนดี (Kathleen Kennedy) ประธานของ Lucasfilm น่าเสียดายงานนี้ขาดเพียง เดวิด กรีนบัม (David Greenbaum) ประธานของ Disney Live Action และ 20th Century Studios ที่ติดภารกิจ
วงเสวนาเปิดด้วยคำถามที่ว่า ตอนนี้ดิสนีย์มีถึง 7 สตูดิโอ และแฟรนไชส์นับไม่ถ้วน หลายคนอยากรู้ว่าพวกเขาวางแผนหรือบริหารจัดการความถี่ของเนื้อหาที่จะปล่อยสู่สาธารณะอย่างไร
เบิร์กแมน: ผมขอตอบคำถามของคุณแบบนี้ ผมโชคดีที่ได้ร่วมงานกับบริษัทมาเกือบ 30 ปี มีช่วงหนึ่งที่เราเน้นไปที่งานแอนิเมชัน และไลฟ์ แอ็กชัน ซึ่งโชคดีที่ บ๊อบ ไอเกอร์ (Bob Iger) ได้มีกลยุทธ์เข้าซื้อกิจการอันยอดเยี่ยมมาก ทั้ง Pixar, Marvel, Lucasfilm และ Fox ทำให้ตอนนี้เรามีสตูดิโอหนังที่ยอดเยี่ยมถึง 7 แห่งเลยทีเดียว
ถ้าพูดถึงสิ่งที่เรากำลังทำ เราเดินหน้าทำผลงานเชิงออริจินัล ภาคต่อ และสปินออฟ ฝั่งของ Pixar และ Disney Animation ก็มีผลงานอย่างน้อยคนละเรื่อง ฝั่ง Marvel ก็เตรียมหนังไว้ 3 เรื่อง และซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันอีก 2 เรื่อง Lucasfilm เองก็มีผลงานประมาณ 1-2 เรื่องต่อปี และมีซีรีส์ไลฟ์แอ็กชัน 2-3 เรื่อง ส่วนของ Disney Live Action และ 20th Century ก็มีหนังประมาณ 3-4 เรื่องต่อปี ยังไม่รวม Searchlight ที่ไม่ได้ใช้ต้นทุนสูงมากอีกประมาณ 5 เรื่อง
ดังนั้นเราจึงมีจุดแข็งอย่างมากจากแบรนด์เหล่านี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมบอกคุณได้เลยก็คือ ความแข็งแกร่งของแบรนด์ล้วนมาจากบุคลากรที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ มันจะไม่เกิดขึ้นเลยหากไม่มีความสามารถอันเหลือเชื่อของพวกเขา เพราะแบรนด์ต่าง ๆ ถ้าคุณไม่รักษาความแข็งแกร่งเอาไว้ มันก็จะอ่อนแอลงและหายไป พวกเขาคือคนที่ทำให้สิ่งเหล่านี้ดำเนินต่อไปได้ และผมก็ภูมิใจกับทีมนี้มาก ๆ
ผลงานมากมายที่เราทำ เราวางแผนไว้ล่วงหน้า 2-4 ปี และวางตำแหน่งของแต่ละเรื่องอย่างมีกลยุทธ์ ตัวอย่างเช่น ในเดือนพฤษภาคม ปกติจะเป็นหนังของ Marvel ส่วนช่วงปลายฤดูร้อนก็เป็นหนังของ Marvel อีกเรื่องหนึ่ง ตรงกลางปีช่วงเดือนมิถุนายนจะเป็นหนังของ Pixar เดือนพฤศจิกายนเราจะมีหนัง Disney Animation และเรื่องอื่น ๆ
กลยุทธ์สู่ความสำเร็จของดิสนีย์คืออะไร วินาทีแรกที่อ่านบท พวกคุณรู้ได้ทันทีเลยไหมว่าเรื่องไหนจะฮิต
เบิร์กแมน: อันที่จริง พวกเราพยายามทำให้หนังทุกเรื่องฮิตอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าเราพยายามที่จะรวบรวมบทหนังที่ยอดเยี่ยม ผู้กำกับที่ยอดเยี่ยม และเหล่านักแสดงที่ยอดเยี่ยม แต่มันก็ยากมาก บางครั้งผมก็รู้ทันทีว่าเรามีของดีอยู่ในมือแล้ว แต่บางครั้งมันก็ต้องมีการปรับแต่งบ้าง เราพยายามไปให้ถึงจุดนั้น และทีมนี้ไม่เคยยอมแพ้ พวกเขาทำงานจนสำเร็จ แต่พูดตามตรงว่าบางครั้งเราก็ทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่มันก็ยังไปไม่ถึงจุดที่เราต้องการ แน่นอนสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ สิ่งที่ผมจะบอกคือ ถ้าคุณดูอัตราการทำผลงานถึงเป้าของทีมนี้ จำนวนที่พวกเขาทำได้ถึงเป้า ไม่มีทีมใดที่แข็งแกร่งเท่ากับพวกเขาแล้ว ดังนั้นผมจึงภูมิใจมากกับผลงานของทีมชุดนี้
‘Inside Out 2’ กลายเป็นหนังแอนิเมชันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ติดอันดับ 10 หนังที่ทำเงินสูงสุดเรียบร้อย พีต ด็อกเตอร์ ถูกถามในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ว่า เขามีวิธีทำหนังให้เข้าถึงอารมณ์ของผู้ชมอย่างไร
ด็อกเตอร์: ทั้งหมดมาจากการค้นคว้าข้อมูล เราพยายามเจาะลึกและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเชิงวิทยาศาสตร์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นมันจะกลายเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนบทขึ้นมา ผมคิดว่าความสำเร็จของภาคนี้ จริง ๆ มันเป็นปริศนาเล็กน้อยนะ คุณไม่มีทางรู้ได้เลย (ว่ามันจะประสบความสำเร็จ) ผมคิดว่าผู้คนคงจะชอบภาคแรก และภาคนี้เราก็เล่นกับความวิตกกังวล สิ่งที่เราพยายามทำคืออธิบายและให้คนดูทำความเข้าใจมัน มอบเครื่องมือให้ผู้คนสามารถพูดคุยเกี่ยวกับมันได้อย่างสนุกสนาน คุณรู้ไหม ด้วยเสียงหัวเราะของตัวละครและนักแสดงในหนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้หนังประสบความสำเร็จนะ
เควิน ไฟกี ถูกถามต่อถึงความสำเร็จล่าสุดของ ‘Deadpool & Wolverine’ หนังที่มีความแตกต่างกับ ‘Inside Out 2’ อย่างสิ้นเชิง แต่ก็เป็นหนังทำรายได้ถล่มทลายในหลายตลาดทั่วโลก ซึ่งประธานของ Marvel ก็เล่าเบื้องหลังของโปรเจกต์นี้ รวมถึงแย้มอนาคตของ MCU ว่า
ไฟกี: อลันพูดถึงเรื่องนี้ไปแล้ว การเข้าซื้อกิจการบางส่วนที่บ๊อบทำก่อนหน้านี้ และโดยเฉพาะครั้งล่าสุดกับ Fox ทำให้เรามีตัวละครจากมาร์เวลหลายร้อยตัว และเดดพูลกับวูล์ฟเวอรีนเป็นเพียงสองตัวละครแรกที่เราอยากจะเริ่มต้นด้วยก่อน ไรอัน เรย์โนลส์ ตื่นเต้นมากที่จะได้ลุยกับตัวละครนี้อีกครั้ง เราตื่นเต้นมากที่จะได้สำรวจร่วมกันว่าการผสมผสานสไตล์ของเขา หรือสิ่งที่เขาทำสำเร็จใน ‘Deadpool’ ทั้ง 2 ภาค จะออกมาเป็นอย่างไรเมื่อรวมเข้ากับจักรวาลอันกว้างใหญ่ของ MCU ตอนนี้มันกำลังไปได้สวย และนั่นก็ยอดเยี่ยมมาก ผมคิดว่านั่นเป็นการบอกใบ้ถึงเรื่องราวของตัวละครอีกหลายร้อยตัวที่เรามีอยู่ในมือตอนนี้ ขอบคุณการซื้อกิจการ Fox อีกครั้งครับ
เจนนิเฟอร์ ลี พูดถึงผลงานของ Disney Animation ว่า ก่อนหน้านี้สตูดิโอไม่ได้มีไอเดียทำหนังภาคต่อมากนัก แต่ตอนนี้เธอและทีมก็ได้มีการเดินหน้าโปรเจกต์ภาคต่อหลายเรื่อง โดยเฉพาะผลงานที่กำลังจะได้ชมกันเร็ว ๆ นี้อย่าง ‘Moana 2’ และ ‘Zootopia 2’
ลี: แน่นอน ฉันคิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเรา เพราะ Disney Animation ไม่ได้มีทำหนังภาคต่อมากนัก หรือแทบจะไม่มีเลยในช่วงหลายปีที่เราทำมา แล้วเราก็มองเห็นโอกาสจาก ‘Frozen’ เรามีเรื่องราวให้เล่าอีกมากมายกับ ‘Wreck It Ralph’ ผู้สร้างหนังของเราทุกคนต่างมีความมุ่งมั่นที่จะนำเมล็ดพันธุ์แห่งเรื่องราวมามอบให้กับเรา พวกเขาปลูกฝังเรื่องราวเหล่านี้ให้เติบโต ‘Frozen’ ถือเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะก่อนหน้านี้ มาร์ก สมิธ (Marc Smith) เป็นผู้เสนอไอเดียเรื่องราวสำหรับทำ ‘Frozen’ ภาค 3 และ 4 ให้กับเรา เขาเป็นคนสำคัญมาก และเป็นส่วนสำคัญของทีม
ฝั่ง Lucasfilm เพิ่งจะประกาศโปรเจกต์หนัง ‘The Mandalorian and Grogu’ ที่ D23 มาหมาด ๆ งานนี้ในฐานะผู้ดูแลภาพรวมของสตูดิโอ แคทลีน เคนเนดี เล่าถึงเบื้องหลังการต่อยอดผลงานชิ้นนี้จากซีรีส์จอแก้วสู่หนังจอเงินว่า
เคนเนดี: มันเป็นโปรเจกต์ที่น่าสนใจมาก เพราะย้อนกลับไปตอนที่มีการเปิดตัว Disney+ ‘The Mandalorian’ ก็เป็นซีรีส์เรื่องแรกที่สร้างขึ้น และตอนนั้นเหมือนเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ดินแดนที่ไม่รู้จักมากนัก ต้องขอบคุณแฟน ๆ ที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก และ Baby Yoda ก็เข้ามาสร้างความฮือฮาไปทั่วโลก จากความสำเร็จเหล่านี้ทำให้เราเริ่มมองกลับมาที่แฟรนไชส์ และพูดว่า “โอเค เรากำลังก้าวเข้าสู่พื้นที่ใหม่ของการเล่าเรื่องใน จักรวาล สตาร์ วอร์ส” เราเพิ่งจะจบเรื่องราว 9 ภาคที่ จอร์จ ลูคัส สร้างขึ้น และเราเริ่มพูดคุยกันว่า จะพาแฟรนไชส์สตาร์ วอร์ส มุ่งหน้าไปทางไหนดี ซึ่ง ‘The Mandalorian’ คือต้นแบบ มันเป็นแผนตั้งแต่แรกเริ่ม เราตั้งใจทำซีรีส์ 2-4 ซีซัน แล้วค่อยพัฒนาเรื่องราวไปต่อยอดทำเป็นรูปแบบของหนังต่อ
เรากำลังทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ ‘Rogue One’ การเปลี่ยนผ่านจากหนังไปสู่ซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จ สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าเราสามารถย้ายเนื้อหาจากแพลตฟอร์มหนึ่งไปยังอีกแพลตฟอร์มหนึ่งได้ ฉันคิดว่าสิ่งนี้มันน่าสนใจจริง ๆ
แฟรนไชส์หนัง MCU ทำรายได้ทะลุ 30,000 ล้านเหรียญบนบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก หลายเรื่องติดอันดับหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาล คุณรู้ได้อย่างไรว่าควรจะเริ่มเล่าเรื่องจากตัวละครไหน
ไฟกี: บ่อยครั้งมันมักจะเริ่มจากการที่เราต้องถามก่อนว่าเรามีสิทธิ์จะทำอะไรได้บ้าง นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นหลายปีก่อน แต่ตอนนี้ตัวละครทุกคนกลับมาอยู่บ้านแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าทึ่งและไม่เหมือนใครเกี่ยวกับ Marvel คือหนึ่งในผลงานของ Marvel ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดบน Disney+ คือรายการสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนเรื่อง ‘Spider-Man and His Amazing Friends’ และในโรงภาพยนตร์ตอนนี้ หนังอันดับหนึ่งของโลกคือ ‘Deadpool & Wolverine’ แม้หนังจะเรต R มาก แต่ Marvel ก็สามารถจัดการกับเรื่องนั้นได้ ผู้คนเข้าใจว่าตัวละครเหล่านี้อยู่ในวงจรชีวิตไหนของ Marvel ตั้งแต่ระดับก่อนวัยเรียนไปจนถึงผู้ใหญ่ และนั่นทำให้เรามีโอกาสที่จะสามารถเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากขึ้นไปอีก ซึ่งถือเป็นเรื่องดีนะ
จากกระแสของ ‘Deadpool & Wolverine’ ผู้ชมต่างตื่นเต้นที่จะได้ดูตัวละครมิวแทนต์และ ‘Fantastic Four’ อีกครั้ง ตัวละครเหล่านี้คือตัวละครที่เราไม่มีโอกาสได้เห็นเลยในช่วง 24 ปีที่ผมอยู่กับ Marvel และ 15 ปี ที่อยู่กับ Disney และตอนนี้เราสามารถเล่าเรื่องราวเหล่านั้นได้แล้ว ในช่วงแรกเราเคยเล่าเกี่ยวกับ ‘Iron Man’ ช่วงปี 2008 ตอนนี้เรากำลังพูดถึงสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน เรื่องราวใหม่ ๆ ที่จะเล่า รวมถึงฝั่งคอมิกก็กำลังเฉลิมฉลองครบรอบ 85 ปี แน่นอนว่ามันมีเรื่องราวมากมายเหลือเกิน ทุกครั้งที่เราประกาศสร้างหนัง อย่างเช่นตอน ‘Deadpool & Wolverine’ คำถามแรกจากแฟน ๆ ก็คือ “แล้วตัวละครนี้ล่ะ ตัวละครนั้นด้วย พวกคุณจะสร้างเรื่องราวของพวกนี้เมื่อไหร่?” มันมีเรื่องราวมากมายให้บอกเล่า ถ้าถามว่าผมตื่นเต้นกับโปรเจกต์ไหนที่สุด ตอนนี้ผมตื่นเต้นที่ ‘X-Men’ จะกลับมา
ผมคิดว่าความคาดหวังอาจเป็นอะไรที่เกินไป พวกเราทุกคนโชคดีมากที่สามารถทำสิ่งที่เกินความคาดหมายได้ทุก ๆ ปี แม้สุดท้ายมันอาจกลายความคาดหวังให้ตัวเราเอง บริษัท ผู้คน หรือสื่อ เกิดเป็นความคาดหวังว่าเราทุกคนจะทำลายสถิติได้อีก อย่างเมื่อปีก่อนเราต้องผิดหวังเป็นครั้งแรก ผมไม่ได้บอกว่ามันดีนะ แต่คุณต้องพยายามค้นหาสิ่งดี ๆ จากมัน คุณต้องยอมรับความสำเร็จในตอนนี้ อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย และหมั่นพยายามเข้าใจว่าคุณเป็นใคร ผมต้องยกความดีความชอบให้กับอลัน ตอนนี้เราเฉลิมฉลองไปกับสองผลงานของดิสนีย์อย่าง ‘Inside Out 2’ และ ‘Deadpool & Wolverine’ ซึ่งมันให้ความรู้สึกดีมากนะ และเตือนให้ทุกคนรู้ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา เราควรเฉลิมฉลองให้กับมัน นั่นคือข้อดีของการผิดหวังและเริ่มสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่
เคนเนดี: ฉันรู้ว่าทุกคนในที่นี้ทำหนังมานานแล้ว และฉันก็เช่นกัน สิ่งหนึ่งที่ฉันชอบก็คือ ความสำเร็จมักจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่คุณคาดหวัง มันมักมาในแบบที่ทำให้คุณประหลาดใจเสมอ ดังนั้นเมื่อถูกถามว่า “ทำอย่างไรถึงจะปัง” ฉันขอเถียงเลยว่าสิ่งเดียวที่เราจะบอกได้คือ การทุ่มเทกับงานให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณต้องพยายามเสี่ยง คุณต้องยายามก้าวเท้าออกจาก Comfort Zone และหวังว่าสิ่งที่ทำนั้นจะเชื่อมกับผู้คนได้ ถ้าทำได้มันจะเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุด แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น มันอาจเป็นความผิดหวัง แต่ฉันคิดว่ามันเป็นเครื่องพิสูจน์ของทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ให้ลุกขึ้นมาอีกครั้ง และเดินหน้าต่อไป เพราะนั่นคือสิ่งที่คุณต้องทำ และนั่นคือสิ่งที่ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อมัน
หากมองไปที่ผลงานของสตูดิโอเพื่อนบ้าน ผลงานไหนที่พวกคุณกำลังสนใจ
เบิร์กแมน: สำหรับผม เมื่อคิดถึงช่วงที่เหลือของปีนี้ ผมนึกถึง ‘Alien: Romulus’ ซึ่งเป็นหนังเรื่องต่อไปของเรา จากนั้นก็ ‘Moana 2’ และ ‘Mufasa’
เคนเนดี: ฉันคิดว่าสิ่งที่น่าสนใจจริง ๆ ก็คือ เราทุกคนต่างมองดูว่าคนอื่นกำลังทำอะไรอยู่ และมันสร้างแรงบันดาลใจได้มาก นั่นคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับการมีอยู่ของกลุ่มนี้ เพราะคุณจะได้เห็นสิ่งที่ เควิน กำลังทำอยู่ ฉันจำได้ว่าเคยนั่งคุยกับ ไทกา ไวทีที (Taika Waititi) เกี่ยวกับแรงบันดาลใจที่ได้รับจาก ‘Moana’ ซึ่งมันก่อเกิดเป็นไอเดียของหนัง สตาร์ วอร์ส เลยทีเดียว
ด็อกเตอร์: จริง ๆ พวกเราจะมีประชุมด้วยกันทุกวันจันทร์ เพื่อฟังว่าแต่ละคนกำลังทำอะไรอยู่ พูดคุยอย่างเป็นกันเองเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ ความท้าทายในโปรเจกต์ต่าง ๆ ซึ่งคุณจะได้รับแรงบันดาลใจมากมายจากทุก ๆ คน ตรงนี้
เบิร์ก: มันเป็นเรื่องที่ดีมาก ที่ทุก ๆ เช้าวันจันทร์ เวลา 10.00 น. พวกเราจะมารวมตัวกันเพื่อพูดคุยและหารือกันว่า ตอนนี้บ็อกซ์ออฟฟิศทำรายได้แค่ไหน รายได้ของหนังเป็นยังไงบ้าง และมีปัญหาอะไรบ้าง การได้นั่งร่วมโต๊ะกับกลุ่มคนที่เก่งมาก ๆ ในสิ่งที่พวกเขาทำ ถือเป็นแรงบันดาลใจจริง ๆ
ลี: ฉันไม่ใช่คนอายุน้อยที่สุด แต่ฉันเป็นคนใหม่ที่สุดคนหนึ่งในวงการหนัง ฉันมาที่ดิสนีย์เมื่อประมาณ 13 ปีครึ่งที่แล้ว และสิ่งที่น่าทึ่งมากสำหรับฉันก็คือ ทุกคนในที่นี้ใจกว้างมาก ฉันสามารถถามคำถามทุกคนได้ ฉันสามารถเติบโตในฐานะผู้สร้างหนังได้ และพวกเขาสร้างแรงบันดาลใจให้ฉันได้มาก มันเป็นเรื่องของการเอาใจช่วยซึ่งกันและกัน และความรักอย่างสุดหัวใจในสิ่งที่เราทำ ในวันที่ยากลำบากเมื่อคุณมองไปรอบ ๆ และพวกเขาเข้าใจคุณ ฉันบอกได้แค่ว่านี่เป็นกลุ่มที่น่าทึ่งจริง ๆ
เคนเนดี: คุณรู้ไหมว่าการทำงานร่วมกับ จอน ฟาฟโรว์ (Jon Favreau) นั้นตลกดี เควินคงจะคุ้นเคยดี คือเขาชอบทำอาหาร ดังนั้นทุกครั้งที่คุณพูดคุยอย่างสร้างสรรค์กับจอน ทุกอย่างจะเกี่ยวข้องกับส่วนผสมและการทำอาหารเสมอ เขาเปรียบเทียบพวกเราเป็นคนที่ทำอาหารทุกประเภท แม้ว่าคุณจะทำอาหารไม่เก่ง คุณก็จะรู้ว่าตัวเองสามารถทำอาหารแบบเดียวกันได้หลายวิธี และรสชาติก็อาจแตกต่างกันมากขึ้นอยู่กับส่วนผสมที่คุณใช้ และเขาพูดถูกที่ใช้การเปรียบเทียบนี้ เพราะนั่นเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการสร้างสรรค์สำหรับเรา เรามองหาส่วนผสมใหม่ ๆ และไอเดียใหม่ ๆ อยู่เสมอ และชิมสิ่งต่าง ๆ และดูว่าเมื่อใดที่มันยอดเยี่ยม เมื่อนั้นคุณจะรู้ว่าคุณทำได้แล้ว
ดิสนีย์มีการประกาศโปรเจกต์หนังและซีรีส์มากมายในงาน D23 ครั้งนี้ ซึ่งต้องจับตาดู ‘ก้าวต่อไป’ ของดิสนีย์ให้ดี เพราะต้องยอมรับว่าพวกเขากำลังเผชิญกับเส้นทางของความท้าทาย และจำเป็นต้องเรียกศรัทธาของแฟน ๆ กลับมาให้ทันท่วงที หลังกระแสความนิยมในผลงานของพวกเขาต่ำลงกว่ามาตฐานในช่วง 3-4 ปีให้หลัง