บทบาทที่น่าจดจำมากที่สุดครั้งหนึ่งของ ฮัลลี แบร์รี (Halle Berry) นักแสดงสาวเจ้าของรางวัลออสการ์วัย 58 ปี ก็คงหนีไม่พ้นการรับบทเป็น เจียซินตา จอห์นสัน (Giacinta Johnson) หรือ จิงซ์ (Jinx) สายลับขององค์กร NSA ในหนังเจมส์ บอนด์ (James Bond) ภาค ‘Die Another Day’ (2002) โดยเฉพาะภาพของแบร์รีที่เดินขึ้นจากทะเลพร้อมกับชุดบิกินีสีส้มสุดเท่ ที่ทำให้แฟนหนังจดจำเธอในฐานะ 1 ในสาวบอนด์ที่เซ็กซี่และเป็นตัวแทนของยุคสมัยใหม่
ในวาระที่ผลงานหนังเรื่องใหม่ ‘The Union’ หนังนักสืบแอ็กชันทริลเลอร์คอเมดีของ Netflix เข้าฉาย แบร์รีได้รับเชิญไปร่วมตอบคำถามจากบรรดาคำค้นหาที่ผู้คนค้นหาเกี่ยวกับเธอบนโลกอินเทอร์เน็ตของ WIRED ซึ่งเธอได้มีโอกาสย้อนรำลึกถึงการเป็นสาวบอนด์ และพูดถึงนักแสดงเจ้าของบท เจมส์ บอนด์ ในเวลานั้นอย่าง เพียร์ซ บรอสแนน (Pierce Brosnan) ในคำถามที่ว่า “ฮัลลี แบร์รี เล่นหนัง เจมส์ บอนด์ ภาคไหน ?”
“ก็คงน่าจะเป็น ‘Die Another Day’ นั่นแหละค่ะ กับ เพียร์ซ บรอสแนน…เขาเป็น เจมส์ บอนด์ ของฉันตลอดไป ตลอดกาลเลยค่ะ ฉันเป็นแฟนตัวยงของ เพียร์ซ บรอสแนน นะคะ เขาคือคนที่ทำให้ฉันกลับมามีศรัทธาต่อผู้ชายอีกครั้งจากหนังเรื่องนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะเป็นสุภาพบุรุษไปกว่า เพียร์ซ บรอสแนน อีกแล้วล่ะ”
แบร์รี รับบทเป็น Jinx เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของทางการสหรัฐฯ ที่ถูกส่งมาช่วยเหลือ เจมส์ บอนด์ หลังจากที่ถูกคว่ำบาตรจากหน่วย MI6 และหลบหนีจากการจับตัวออกมาได้ ซึ่ง Jinx จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยเหลือบอนด์จากแผนการอันชั่วร้ายของ กุสตาฟ เกรฟส์ ที่กำลังวางแผนใช้อาวุธทำลายล้างโลกให้สิ้นซาก
หนังเรื่องนี้ถือเป็นผลงานการรับบทสายลับ 007 ครั้งสุดท้ายของบรอสแนน หลังจากที่เขาได้สร้างภาพลักษณ์เจมส์ บอนด์ ที่มาพร้อมกับทักซีโดสุดเนี้ยบ และมาดอันสุขุมนุ่มลึก รายล้อมไปด้วยอุปกรณ์อาวุธไฮเทคในภาค ‘GoldenEye’ (1995) ‘Tomorrow Never Dies’ (1997) และ ‘The World Is Not Enough’ (1999)
โดยแต่เดิม บรอสแนนถูกวางตัวจาก Eon Productions ให้มารับบท เจมส์ บอนด์ ต่อจากคนก่อนอย่าง โรเจอร์ มัวร์ (Roger Moore) แต่สุดท้ายก็ต้องคลาดแคล้วกัน เพราะบรอสแนนในเวลานั้นยังติดสัญญาการแสดงในซีรีส์สายลับ ‘Remington Steele’ (1982–1987) ของ NBC อยู่ แม้ว่าบรอสแนนจะเคยเข้ามาถ่ายภาพสำหรับโปรโมตไปแล้ว
ในเวลานั้น ทิโมธี ดาลตัน (Timothy Dalton) จึงได้รับบทเป็น เจมส์ บอนด์ คนต่อไปในภาค ‘The Living Daylights’ (1987) และ ‘Licence to Kill’ (1989) แต่สุดท้ายด้วยปัญหาบางอย่าง ทำให้ดาลตันไม่ได้กลับมาสานต่อสไตล์เจมส์ บอนด์ที่มีความดาร์กและจริงจังอีกต่อไป บรอสแนนจึงได้โอกาสกลับมารับบทนี้ใน ‘GoldenEye’ หลังจากอดทนรอมายาวนานนับ 10 ปี
แม้ว่าบรอสแนนจะได้รับความชื่นชมถึงภาพลักษณ์ของบอนด์ที่ดูมีความสมัยใหม่มากขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ด้วยแนวทางของตัวหนังที่เริ่มเน้นความเป็นหนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ที่เน้นฉากแอ็กชันและสเปเชียลเอฟเฟกต์อลังการมากกว่าเรื่องราว ก็ทำให้เจมส์ บอนด์ เวอร์ชันนี้โดนวิจารณ์ไม่น้อย แม้แต่บรอสแนนเองก็รู้สึกไม่ชอบหนัง เจมส์ บอนด์ ที่เขาแสดงสักเท่าไหร่ เพราะตัวหนังที่เต็มไปด้วยความเกินจริงในทุกองค์ประกอบ
ด้วยความที่บรอสแนนเองเข้าใกล้หลัก 50 แล้ว และด้วยหลาย ๆ ปัจจัย ก็ทำให้มีข่าวลือว่าบรอสแนนจะกลับมารับบท เจมส์ บอนด์เป็นครั้งที่ 5 หรือไม่ จนกระทั่งเขาได้รับสายจาก 2 โปรดิวเซอร์อย่าง บาร์บารา บร็อกโคลี (Barbara Broccoli) และ ไมเคิล วิลสัน (Michael Wilson) ที่โทรมายกเลิกการเป็น เจมส์ บอนด์ ของเขาอย่างเป็นทางการ ไปพร้อม ๆ กับกระแสข่าวที่โปรดิวเซอร์กำลังตั้งใจบูรณะแฟรนไชส์ใหม่ในรอบ 40 ปี ด้วยแนวทางการนำเสนอที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง และมีความร่วมสมัยเหมาะกับยุคใหม่มากขึ้น โดยการรับหน้าที่ของเจมส์ บอนด์ คนใหม่อย่าง แดเนียล เครก (Daniel Craig)
แม้บรอสแนนเองจะออกมาสนับสนุนเครก แต่เขาเองก็ออกมายอมรับภายหลังว่า เขารู้สึกเจ็บปวดตอนที่โปรดิวเซอร์โทรไปปลดตำแหน่งเขากลางอากาศ “ตอนนั้น บาร์บาราและไมเคิลอยู่ในสาย พวกเขาบอกว่า ‘พวกเราขอโทษจริง ๆ’ บาร์บารากำลังร้องไห้อยู่ ส่วนไมเคิลนิ่งเงียบสักครู่และพูดว่า ‘คุณคือเจมส์ บอนด์ที่ยอดเยี่ยมมาก ขอบคุณมาก’ แล้วผมก็พูดว่า ‘ขอบคุณมาก ลาก่อน’ ผมรู้สึกช็อกสุด ๆ เหมือนถูกเตะทิ้งแบบไม่มีเยื่อใยเลย”
ในขณะที่แบร์รี ได้กลายมาเป็นสาวบอนด์ใน ‘Die Another Day’ ที่หลังจากนี้เธอจะกลายเป็นนักแสดงหญิงเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันคนแรกที่สามารถคว้ารางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากการรับบทในหนังโรแมนติกดราม่า ‘Monster’s Ball’ (2001) และกำลังจะกลายเป็นสาวบอนด์คนแรกที่จะได้มีบทบาทในหนัง Spin-Off เรื่องแรกของเจมส์ บอนด์ ที่สตูดิโอ MGM ได้ประกาศว่ากำลังจะมีการสร้าง และมีกำหนดฉายในปี 2004
จนกระทั่งประมาณกลางปี 2003 นีล เพอร์วิส (Neal Purvis) และ โรเบิร์ต เวด (Robert Wade) ได้เขียนบทภาคแยกของ Jinx เสร็จเป็นที่เรียบร้อย โดยมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ Jinx ที่กลายเป็นเด็กกำพร้า เพราะพ่อและแม่ของเธอโดนลอบสังหาร ก่อนที่เธอจะถูกนำไปชุบเลี้ยงและเติบโตกลายมาเป็นสายลับ แต่สุดท้ายก็มีรายงานออกมาว่าโปรเจกต์ภาคแยกนี้ถูกยกเลิก และใช้ภาค ‘Casino Royale’ (2006) ของเครกเป็นตัวรีบูตแฟรนไชส์แทน
สาเหตุของการยกเลิก คาดว่าน่าจะเป็นเพราะความล้มเหลวทางด้านรายได้และคำวิจารณ์ของบรรดาหนังแอ็กชันที่มีผู้หญิงนำแสดงที่ออกฉายในปีนั้นทั้ง ‘Charlie’s Angels: Full Throttle’ (2003) และ ‘Lara Croft: Tomb Raider – The Cradle of Life’ (2003) ในขณะที่หนังเรื่องนี้ใช้ทุนสร้าง 80 ล้านเหรียญ ภายหลัง แบร์รีได้เปิดเผยความรู้สึกของการถูกยกเลิกว่า “มันเป็นอะไรที่น่าผิดหวังมาก มันมาก่อนกาลไปหน่อย ไม่มีใครพร้อมที่จะทุ่มเงินขนาดนั้นให้กับดาราสาวผิวดำที่เล่นหนังแอ็กชันหรอก ณ ตอนนั้น พวกเขาแค่ยังไม่แน่ใจในคุณค่าของมัน”
แบร์รีทิ้งท้ายด้วยการพูดถึงการรับบท Jinx ที่แม้จะเป็นครั้งเดียวในชีวิตของเธอ แต่ก็นับว่าเป็น 1 ในหน้าสำคัญของแฟรนไชส์สายลับระดับโลก รวมทั้งการร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหญ่ผู้แสนจะเป็นสุภาพบุรุษคนนี้
“เอาจริง เจมส์ บอนด์ ไม่ได้อยู่ในลิสต์ความฝันที่อยากจะแสดงของฉันเลยค่ะ แต่ฉันชอบหนังเหล่านั้นมาโดยตลอด และหลังจากที่ได้แสดงแล้ว ฉันก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ หนังเหล่านี้มันมีความเป็นไอคอนิก และจะยังคงเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเราเสมอไป ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับเพียร์ซ”