แม้ว่าจะยังรับประกันไม่ได้ 100% ว่าทิศทางของหนังซูเปอร์ฮีโรต่อจากนี้จะกลับมาฟื้นตัวจนกลายเป็นยุคทองครั้งที่ 2 ของหนังซูเปอร์ฮีโร หรือจะยิ่งตกต่ำถดถอยมากกว่าเดิม แต่สิ่งที่ยังคงต้องเผชิญก็คือการพิสูจน์ตัวเองกับกลุ่มคนอีกฝั่งที่มองว่าหนังซูเปอร์ฮีโรกำลังทำลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการทำลายที่หยั่งรากตั้งแต่ขั้นตอนกระบวนการผลิต ความเป็นศิลปะ ความหลากหลายของแนวทางและวิธีการ ลงไปจนถึงทำลายพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เป็นปลายน้ำ

และคนล่าสุดที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์หนังซูเปอร์ฮีโรอย่างเผ็ดร้อนไม่แพ้กันก็คือ ไบรอัน ค็อกซ์ (Brian Cox) นักแสดงรุ่นใหญ่ชาวสกอตแลนด์ วัย 77 ปี เจ้าของบทบาท โลแกน รอย (Logan Roy) เจ้าของธุรกิจสื่อทรงอิทธิพล ในซีรีส์ดราม่าตลกร้าย ‘Succession’ (2018–2023) ของ HBO เจ้าของสถิติ 16 รางวัลจากเวที Primetime Emmy Awards ที่ได้กล่าวสุนทรพจน์ในระหว่างร่วมงาน Edinburgh International Film Festival ที่จัดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยเขาได้ออกมาพูดถึงสถานการณ์ที่กำลังย่ำแย่ของวงการภาพยนตร์ รวมทั้งความสำเร็จของ ‘Deadpool & Wolverine’ ที่สร้างผลกระทบต่อวงการภาพยนตร์ โดยค็อกซ์ได้อธิบายกับผู้เข้าร่วมงานถึงความเป็นต้นฉบับของคอนเทนต์ในโทรทัศน์ ที่กำลังหันไปใช้โมเดลทางธุรกิจแบบภาพยนตร์มากขึ้น จนขาดความคิดริเริ่มแบบที่โทรทัศน์เคยมีมาในอดีต

“สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ โทรทัศน์เองก็กำลังจะทำในสิ่งที่หนังเคยทำมาก่อนด้วยเหมือนกัน ผมคิดว่าภาพยนตร์กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่แย่มาก ๆ ผมคิดว่ามันกำลังจะเริ่มสูญเสียจุดยืนไปบางส่วน และส่วนหนึ่งก็มาจากองค์ประกอบอันยิ่งใหญ่อลังการของ Marvel และ DC และอื่น ๆ ผมคิดว่าเรากำลังจะเริ่มสูญเสียพล็อตเรื่อง และอุตสาหกรรมหนังก็กำลังจะเริ่มล่มสลายแล้วจริง ๆ”

Brian Cox X2 X-Men United

ค็อกซ์ได้ยกตัวอย่างถึงความสำเร็จของ ‘Deadpool & Wolverine’ หนังซูเปอร์ฮีโร MCU เรื่องเดียวของปีนี้ที่นำแสดงโดย ไรอัน เรย์โนลส์ (Ryan Reynolds) และ ฮิว แจ็กแมน (Hugh Jackman) ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามด้วยตัวเลข Box Office ทั่วโลก 1,086 ล้านเหรียญ และกลายมาเป็นหนังเรต R ที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาล

โดยเขาได้ยกให้ ‘Deadpool & Wolverine’ เป็นตัวอย่างที่ดีของการเฉลิมฉลองความสำเร็จด้านรายได้ แต่ไม่ใช่ตัวรับประกันว่าจะช่วยทำให้ผู้ชมได้รับประสบการณ์หนังในรูปแบบใหม่ ๆ โดยที่สตูดิโอไม่พยายามจะเดินย่ำรอยเดิม เพื่อหวังการการันตีตัวเลขบน Box Office แบบที่เคยเป็นมา

“Deadpool & Wolverine กลายเป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานของนักแสดงบางคนที่จะได้แสดงความสามารถออกมา เมื่อคุณรู้ว่าฮิว แจ็กแมน สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น ไรอัน เรย์โนลส์ ก็เช่นกัน และพวกเขาก็เลือกเส้นทางนั้น เพราะมันทำเงินบน Box Office ได้เยอะ คุณไม่สามารถไปตำหนิพวกเขาได้หรอก”

“แน่นอนว่ามันทำให้ทุกคนมีความสุข แต่ในแง่คุณค่าของผลงาน มันกลับถูกทำให้จืดจางลงไปในภายหลัง และคุณก็จะได้ดูแต่หนังแบบเดิม ๆ…ที่ผมพูด ผมหมายถึงว่า ตัวผมเองก็เคยทำงานในโปรเจกต์แบบนั้นมาแล้วเหมือนกัน”

ค็อกซ์พูดถึงตัวของเขาเองที่จริง ๆ ก็เคยรับบทในหนังซูเปอร์ฮีโรเหมือนกัน เขารับบทเป็น วิลเลียม สไตรเกอร์ ใน ‘X2: X-Men United’ (2003) นักวิทยาศาสตร์ด้านการทหารที่โน้มน้าวให้โลแกนเข้าร่วมการทดลองฉีดสารอดาแมนเทียม จนทำให้โลแกนเปลี่ยนเป็น Wolverine และมีเป้าหมายในการกำจัดมิวแทนต์ให้หมดไปจากโลก ซึ่งเขาพูดแซวตัวเองว่าเขาลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้ว

“Deadpool ได้พบกับผู้ชายคนนั้น ก็คือ Wolverine ที่ผมเป็นคนสร้างขึ้น…แต่ผมว่าผมลืมไปแล้วว่ะ…จริง ๆ นะ แล้วพอหนังเรื่องนั้นฉาย ก็จะมีผมอยู่ในนั้นด้วยตลอด และพวกเขาก็ไม่เห็นจะจ่ายเงินให้ผมเลย”

อย่างที่ทราบกันว่า หนังซูเปอร์ฮีโรไม่ว่าจะทั้งจากฝั่งของ Marvel หรือ DC ล้วนแต่เคยเป็นเป้าโจมตีของผู้กำกับเบอร์ใหญ่ ๆ ของวงการทั้งสิ้น (แต่ด้วยความที่ Marvel เป็นเจ้าตลาด ก็เลยโดนเยอะเป็นพิเศษ) เริ่มตั้งแต่ มาร์ติน สกอร์เซซี (Matin Scorsese) ผู้กำกับภาพยนตร์ชั้นครู ที่ได้ให้สัมภาษณ์โจมตีหนังของ Marvel Studios กับนิตยสาร Empire ด้วยการเปรียบเทียบว่าหนังซูเปอร์ฮีโรก็ไม่ต่างอะไรกับสวนสนุก สร้างกระแสฮือฮาในบรรดาแวดวงหนังซูเปอร์ฮีโรในช่วงเวลานั้นเป็นอย่างมาก

Brian Cox Hugh Jackman X2 X-Men United

หลังจากนั้นก็เริ่มมีผู้กำกับรุ่นใหญ่หลายคนที่ออกมาพูดในทิศทางเดียวกัน ทั้ง ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา (Francis Ford Coppola) ที่ออกมาวิจารณ์ว่าหนังซูเปอร์ฮีโรนั้นไม่ได้เป็นหนังจริง ๆ ในขณะที่ เควนทิน ทารันทิโน (Quentin Tarantino) เคยให้สัมภาษณ์โจมตีนักแสดงของ MCU ว่าไม่ได้เป็นนักแสดงจริง ๆ แต่ดาราที่แท้จริงคือคาแรกเตอร์ซูเปอร์ฮีโรต่างหาก รวมทั้ง จอห์น วู (John Woo) ที่ออกมาพูดว่า เขาไม่ชอบดูหนังซูเปอร์ฮีโร และยกให้ ‘Killers of the Flower Moon’ (2023) ของสกอร์เซซี คือแบบอย่างของหนังที่ไม่ค่อยมีในท้องตลาด

นอกจากนี้ ค็อกซ์ยังได้เล่าถึงภาพความเฟื่องฟูของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เปรียบเทียบกับในวัยเด็กของเขาที่เติบโตมาในเมืองดันดี ประเทศประเทศสกอตแลนด์ ที่มีโรงภาพยนตร์มากถึง 21 แห่งในเมืองเดียว ในขณะที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปัจจุบันล้วนเต็มไปด้วยความท้าทาย ไม่เว้นแม้แต่การทำเทปออดิชันของนักแสดง หรือแม้แต่มุมมองและแนวคิดของการรับชมภาพยนตร์ที่เปลี่ยนไปของผู้ชม

“ตอนนี้ทีมงานต้องการให้นักแสดงรุ่นใหม่ ๆ ทำเทปออดิชันของตัวเอง พวกเขาทำได้โดยไม่ต้องพบเจอกับใครเลย และบางครั้งมันก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาไม่ได้รับความสนใจมากพอ พวกเขาต้องใช้เวลา 3 วันในการทำคลิปออดิชัน และสุดท้ายมันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย”

“ผู้คัดเลือกนักแสดงและนักแสดงเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ดังนั้น มืออาชีพหน้าใหม่ ๆ ในวงการนี้จึงรู้และเข้าใจในทิศทางของงาน แต่ในตอนนี้ นักแสดงหนุ่มสาวกลับติดอยู่ในสภาพที่ไม่รู้จะไปไหนต่อ และมันก็น่ารังเกียจมาก ๆ เพราะสิ่งนี้มันบั่นทอนสิ่งที่นักแสดงเป็น และสิ่งที่พวกเขาทำได้ลงไป”

“มันเป็นระบบที่แย่มาก ผมหวังว่าสิ่งนี้มันจะหยุดลงได้ ผมหวังว่าเราจะกลับไปสู่ความสัมพันธ์แบบบุคคลกับบุคคลได้อีกครั้ง เพราะความสัมพันธ์คือสิ่งที่ศิลปะควรจะเป็น”