‘Alien: Romulus’ กลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จ ด้วยการผสานเรื่องราวและกลิ่นอายจากหนังจักรวาลเอเลี่ยน มาผสมผสานเข้ากับทางเขย่าขวัญได้อย่างดี ซึ่งก็ต้องยกเครดิตให้ผู้กำกับ เฟเด อัลวาเรซ (Fede Álvarez) และเขียนบทร่วมกับ โรโด ซายาเกซ (Rodo Sayagues) รวมไปถึงผู้ให้กำเนิดจักรวาลอย่าง ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) ที่ลงมาคุมงานโปรดิวเซอร์ด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิด
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การรับโปรเจกต์งานแฟรนไชส์ระดับตำนานย่อมสร้างความกดดันให้กับผู้กำกับวัยหนุ่ม จนทำให้เขารู้สึกไม่มั่นใจว่าจะทำผลงานได้ดีแค่ไหน อัลวาเรซได้เล่าช่วงเวลาที่เขาถือบทฉบับแรก ๆ เข้าไปให้สก็อตต์ตรวจกับ Collider รวมทั้งปฏิกิริยาที่เกินคาดของผู้กำกับรุ่นใหญ่
“ผมมักจะเข้าไปคุยกับเขาทุกครั้งตอนที่มีจุดสำคัญ ๆ ในเนื้อเรื่องขึ้นมาครับ เขารู้มาตั้งแต่ตอนที่ผมไปเสนอไอเดียแรก ๆ จนถึงตอนที่ผมมีบทความยาว 10 หน้าที่ใช้ยื่นเสนอโปรเจกต์ ตอนที่ผมมีบทฉบับแรก และตอนที่ผมมีบทฉบับดราฟต์สำหรับถ่ายทำ จนถึงตอนที่ผมตัดต่อหนังร่างแรกเสร็จ ผมก็ส่งหนังให้เขาดูในโรงหนังด้วย ผมอยากเจอกับเขาเร็ว ๆ ผมอยากรู้ปฏิกิริยาแรก และความรู้สึกแรกที่เขามีต่อหนัง ผมจะไปหาเขา นั่งรอที่โต๊ะ พร้อมกับมีสมุดบันทึกและปากกาอยู่ข้าง ๆ รอเพื่อจะจดทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดออกมา”
“ผมจำได้ว่า ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือ เขาเดินมาหาผมแล้วพูดว่า ‘จะให้ฉันพูดอะไรกับนายล่ะ ? หนังแ-่งดี-ิบหาย’ เขาพูดต่อว่า ‘นายกำลังจะได้มีหนังใหญ่แล้วนะโว้ย’ เขาเชื่อจริง ๆ ว่าหนังเรื่องนี้มันจะประสบความสำเร็จมาก ๆ”
“เขาบอกผมอีกว่า ‘ฉันคิดว่ามันจะทำได้ดีเหมือนกับที่ ‘Prometheus’ (2012) ทำเลย’ ผมหวังว่าเขาจะพูดถก เขาพูดแบบนั้นออกมาตอนที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นหนังเล็ก ๆ ที่เหมาะกับกลุ่มแฟนหนังสยองขวัญมากกว่า เอาไว้ให้แฟนหนังสยองขวัญมาดูกันเอง แค่นั้นเลย ผมไม่ได้มองว่ามันจะเป็นหนังที่ยิ่งใหญ่เหมือนอย่างที่มันเป็นในตอนนี้”
อัลวาเรซเริ่มต้นโปรเจกต์นี้ด้วยความรักที่มีต่อตัวแฟรนไชส์หนัง ‘Alien’ เป็นทุนเดิม ส่วนเรื่องราวของนักสำรวจอวกาศวัยรุ่นที่เกิดขึ้นใน ‘Alien: Romulus’ เกิดจากการที่เขาได้แรงบันดาลใจจากฉากที่ถูกตัดออกไปจากหนัง ‘Aliens’ (1986) ซึ่งเป็นฉากที่มีเด็กกำลังปั่นจักรยานอยู่ภายในสถานีอวกาศ เขาจึงจินตนาการไปถึงภาพของเด็กที่ต้องเติบโตขึ้นมาในอาณานิคมอวกาศที่ต้องเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย แถมยังต้องเผชิญกับเหล่าเอเลี่ยนที่เป็นภัยคุกคามอีกต่างหาก
หลังจากที่เขาเสร็จสิ้นจากการกำกับ ‘Don’t Breathe’ (2016) เขาได้มีโอกาสเข้าไปเล่าให้สก็อตต์ฟังถึงไอเดียนี้ รวมทั้งการเชื่อมโยงเรื่องราวเข้ากับหนังภาคต้นฉบับ ในฐานะแฟนคลับหนังคนหนึ่ง ซึ่งผู้กำกับรุ่นใหญ่ที่กำลังทำงานในโปรเจกต์ ‘Alien: Covenant’ (2017) เองก็สนใจในไอเดียนี้ จนกระทั่งปี 2020 สตูดิโอ 20th Century Studios กำลังจะสร้างหนัง Alien ภาคใหม่ สก็อตต์จึงตัดสินใจเรียกเขาเข้ามาคุย เพื่อเจรจาให้เขาเข้ามาเป็นผู้กำกับและเขียนบท ‘Alien: Romulus’ ในเวลาต่อมา
สิ่งที่ทำให้การทำงานของผู้กำกับรุ่นใหม่ไฟแรง กับผู้กำกับรุ่นใหญ่สามารถทำงานไปด้วยกันได้อย่างราบรื่น อัลวาเรซเล่าว่าเป็นเรื่องของความเข้าใจในฐานะของคนเป็นผู้กำกับ ในขณะที่สก็อตต์เองไม่อยากจะให้คำแนะนำกับเขามากเกินไป ส่วนอัลวาเรซเองก็พร้อมที่จะเปิดใจรับคำติชมจากสก็อตต์อย่างเต็มที่ ในขณะที่เขาก็ต้องมีจุดยืนเป็นของตัวเองด้วย ทำให้การทำงานและการสนทนาของทั้งคู่ดำเนินไปด้วยความเคารพและเป็นมืออาชีพ
“ด้วยความที่เขาอายุ 80 กว่า ๆ แล้ว และมีประสบการณ์มากมาย เราลงรายละเอียดกัน และในช่วงท้าย ๆ ของกระบวนการตัดต่อ เขาก็จะให้คำแนะนำมากมาย เขาเคยบอกไปตอนสัมภาษณ์บนพรมแดงว่า เขาจะให้คำแนะนำบางอย่างที่จะทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด ไม่ใช่เพราะว่าผมโกรธเขาหรืออะไร แต่เขาพูดแบบนั้นเพราะเขาเป็นผู้กำกับ เขารู้ดีว่า ผู้กำกับทุกคนเวลาได้คำแนะนำก็มักจะรู้สึกเฟลจนหงุดหงิด”
“ทุกคนเกลียดคำแนะนำครับ ไม่ว่ามันจะมาจากใครทั้งนั้น เขาคิดว่าผมก็คงจะหงุดหงิดกับคำแนะนำด้วย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติ ตัวผมเองก็เป็นครับ เพราะเมื่อผมทำหนังออกไป มันหมายความว่าหนังของผมมันก็จะออกมาเป็นแบบนี้แหละ อะไรก็ตามที่โปรดิวเซอร์บอกให้ผู้กำกับลองเอากลับไปดูหรือคิดใหม่อีกที เขาก็จะคิดในใจว่า ‘อะไรวะ ?'”
“แต่นั่นมันก็เป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาตินั่นแหละ หากคุณมีไอเดียหรือมุมมองที่ชัดเจน มีความใส่ใจและหลงใหลในหนังของคุณจริง ๆ ปฏิกิริยาของคุณจะออกมาดูไม่มีความสุขอยู่แล้ว ไม่มีใครชอบได้รับการแนะนำหรอกครับ”
จนถึงช่วงเวลาที่อัลวาเรซต้องเปิด ‘Alien: Romulus’ ที่ตัดต่อดราฟต์สุดท้ายให้สก็อตต์ชม เขาเล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า
“ผมอยากให้เขาได้เห็นมันก่อนใครครับ ทุก ๆ คนบอกกับผมว่าริดลีย์เป็นคนที่ไม่ง่ายนะ เขาเป็นคนที่เข้มงวดมากจริง ๆ เขาเข้มงวดมากโดยเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหนังของเขา ตอนที่ทำ ‘Blade Runner 2049’ (2017) ที่เป็นผลงานชิ้นเอกของผมเลย และเขาก็มีปัญหากับมันมาก เพราะมันยากสำหรับเขา เพราะว่ามันเป็นผลงานของเขา”
“คือต่อให้เขาไม่ได้ขอ แต่ผมก็จะนั่งที่โต๊ะและรอคำแนะนำจากเขา ต่อให้เขาจะพูดใส่ผมว่า ‘แกทำลายมรดกของฉันว่ะ’ ผมก็อยากจะอยู่ต่อหน้าเขาและเห็นเขาด้วยตาตัวเอง ผมไม่ได้อยากได้อีเมลที่เขียนบอกว่า ‘ริดลีย์บอกว่า…นั่นนี่’ คำชมที่ดีที่สุดที่เขาพูดออกมาก็คือ ‘ไดอะล็อกยอดเยี่ยมมาก คุณเป็นคนเขียนบทใช่ไหม’ ใช่ครับ !”
ในขณะที่สก็อตต์เองก็เคยเปิดเผยปฏิกิริยาของเขากับ The Hollywood Reporter ตอนที่ ‘Alien: Romulus’ เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ในลอสแอนเจลิส ซึ่งนั่นทำให้เขาใช้วิธีเขียนโน้ตข้อเสนอแนะลงบนกระดาษแทน
“ผมบอกเขาว่า ‘นายไม่จำเป็นต้องฟังคำแนะนำของฉันหรอก แต่เดี๋ยวฉันจะบอกนายเองว่าฉันคิดแบบไหน’ แล้วเขาก็เอาไปอ่านเอง แล้วก็ไปเตะกำแพง ต่อยประตู แล้วค่อยกลับมาบอกว่า ‘มันเป็นคำแนะนำที่ดี’ ผมเสนอแนะเขาไปว่าหนังมันยาว ผู้กำกับมักจะทำให้หนังมันยาวจนเกินไป มันยาวจนคุณอาจสูญเสียไดนามิกในการเล่าเรื่องนั้นไป ไดนามิกเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับหนังแนวนี้ และเขามีเนื้อหาที่จะเล่าเยอะมาก เยอะจนไม่จำเป็นต้องใส่ทุกอย่างลงไป”
นอกจากนี้เขายังตั้งข้อสังเกตว่า การเลือกอัลวาเรซ ที่เคยมีผลงานการกำกับหนังมาก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ‘Evil Dead’ (2013) และ ‘Don’t Breathe’ นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหนังแฟรนไชส์ที่มีชื่อชั้นในระดับนี้
“คุณไม่ควรให้โอกาสนี้กับมือใหม่ เพราะคุณจะถูกสตูดิโอกลืนกินไปซะก่อน คนทั่วไปไม่มีทางรู้หรอกว่าการเป็นผู้กำกับหนังเรื่องแรกของตัวเอง แล้วต้องมีทุกคนคอยมาบอกว่าต้องทำอะไรยังไงบ้างนั่นมันเป็นอย่างไร เรื่องแบบนี้มากคนก็มากความน่ะ มันมากเกินไปจนคุณต้องบ่นว่าออก ๆ ไปบ้างเหอะ”
สก็อตต์ได้เล่าถึงความรู้สึกจากมุมมองของเขาตอนที่ทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับอัลวาเรซกับ Los Angeles Times แม้ว่าอัลวาเรซจะต้องการคำแนะนำจากตัวเขามากขนาดไหน แต่สิ่งที่เขายืนยันอย่างชัดเจนก็คือ เขาต้องการจะทำงานร่วมกันโดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับงานของผู้กำกับ เพราะสิ่งที่เขาเกลียดมาก ๆ อย่างหนึ่งตอนที่เป็นผู้กำกับก็คือ การต้องคอยรับฟังคำแนะนำอยู่ตลอดเวลา
“สำหรับผม อันตรายของแฟรนไชส์ที่จะเกิดขึ้นก็คือ สุดท้ายมันก็จะตายลง เว้นเสียแต่ว่าจะมีใครสักคนตัดสินใจที่จะลุกขึ้นมารับช่วงต่อแล้ววิ่งลงไปเปิดสนามด้วยตัวเอง เฟเดเป็นเหมือนกับขุมพลังงานที่พลุ่งพล่าน ตัวผมเองเลยต้องถอยกลับออกมา เพื่อปล่อยให้เขาได้ทำสิ่งนี้ต่อไป”
“เฟเดมีแผนอยู่ในใจอย่างชัดเจนแล้ว และบทหนังของเขาก็เป็นอะไรที่แข็งแรงอยู่แล้ว แต่บทฉบับแรกมันยาวมาก ซึ่งบทฉบับแรก ๆ ก็มักจะยาวเป็นปกติอยู่แล้วแหละ พวกเราเลยลงมือแก้ไขนิดหน่อย”
“มันเป็นงานที่ยากอยู่นะ ถ้าเกิดต้องมีใครต่อใครคอยมาให้คำแนะนำอยู่นั่นน่ะ สิ่งสุดท้ายที่คุณจะต้องการในบางช่วงเวลาก็คือพวกคำแนะนำเหล่านั้น ส่วนตัวผมไม่ได้ต้องการคำแนะนำ ถ้าหากผมทำตัวเองพลาดจนล้มลง ผมก็จะพูดว่า ‘มันเป็นความผิดของผมเองแหละ’ ผมหวังว่าเฟเดจะมีโปรเจกต์ถัดไปอยู่ในมือนะ เพราะผมคิดว่าหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จมาก เขาเป็นคนที่มีแววอัจฉริยะอยู่ในตัว”