เรียกได้ว่าเป็นหนังที่โอบรับความอื้อฉาวเอาไว้มากมายตั้งแต่ยังไม่ทันฉาย สำหรับ ‘Megalopolis’ ภาพยนตร์มหากาพย์ไซไฟโปรเจกต์ในฝัน และการเดิมพันทุนสร้าง 120 ล้านเหรียญ โดยไม่ผ่านระบบสตูดิโอของฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา (Francis Ford Coppola) ที่รับหน้าที่ทั้งเป็นโปรดิวเซอร์ กำกับ เขียนบทด้วยตัวเอง ที่กำลังจะเข้าฉายทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยวันที่ 26 กันยายนที่จะถึงนี้ ผ่านการจัดจำหน่ายโดย Lionsgate
ก่อนหน้านี้ ‘Megalopolis’ เป็นหนังที่มีประเด็นอื้อฉาวมากมาย ตั้งแต่พฤติกรรมของคอปโปลาที่เดินเข้าไปกอดจูบนักแสดงประกอบหญิงในระหว่างถ่ายทำ รวมไปถึงการปล่อยคลิปตัวอย่างหนังที่เรียกกระแสฮือฮาด้วยการใส่ถ้อยคำวิจารณ์หนังระดับตำนานของคอปโปลาในแง่ลบ ที่ภายหลังถูกเฉลยว่าเป็นการสร้างขึ้นมาด้วย AI จนทำให้ Lionsgate ต้องลบคลิปตัวอย่างหลังจากปล่อยไปได้เพียงวันเดียว
คอปโปลาได้ให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับ Rolling Stone เกี่ยวกับจุดยืนของเขาที่มีต่อ ‘Megalopolis’ ที่เขาได้อธิบายว่า ในยามที่ฮอลลีวูดถูกท้าทายให้ต้องพยายามสอดแทรกการตื่นรู้เกี่ยวกับความหลากหลายของสังคม (Woke Culture) รวมถึงเรื่องของ ความถูกต้องทางการเมือง (Political Correctness) รวมทั้งต้องระมัดระวังอันตรายจากวัฒนธรรมการคว่ำบาตร หรือแบนคนที่มีความประพฤติไม่เป็นไปตามระเบียบของสังคม (Cancel Culture)
ซึ่งเขาได้ย้ำจุดยืนชัดเจนว่า เขาไม่ต้องการเอาใจตลาดด้วยการพยายามทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นเครื่องมือสำหรับการ Woke ซึ่งส่วนหนึ่งนั้นมาจากการคัดเลือกนักแสดงส่วนหนึ่งที่เคยถูกตั้งประเด็น หรือเคยถูกแบนจากพฤติกรรมและแนวคิดที่ไม่สอดคล้องกับสังคมโดยรวมมาก่อน โดยไม่กลัวว่าชื่อเสียของพวกเขาจะส่งผลกระทบให้ตัวหนังโดนแบนไปด้วย
“สิ่งที่ผมไม่ต้องการให้เกิดขึ้นกับหนังก็คือ การที่เราถูกมองว่าเป็นคนที่ผลิตหนังออกมาเพื่อสร้างความตื่นตัวทางสังคม เพียงเพื่อจะเอาไว้ใช้สั่งสอนผู้ชม ในหนังมีนักแสดงบางคนที่เคยถูกแบนมาด้วย บางคนก็มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมอย่างสุดขั้ว และบางคนก็มีแนวคิดการเมืองหัวก้าวหน้าอย่างเข้มข้น แต่เราทุกคนต่างก็ทำงานในหนังเรื่องเดียวกัน ซึ่งผมว่านั่นเป็นเรื่องที่น่าสนใจดี”
นักแสดงคนหนึ่งที่บทความนี้พูดถึงก็คือ จอน วอยต์ (Jon Voight) นักแสดงรุ่นใหญ่ซึ่งเป็นที่รู้จักจากมุมมองทางการเมืองขวาจัด รวมทั้งยังออกตัวเป็นผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน (Republican Party) และอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) มีแนวคิดสนับสนุนนโยบายเสรีอาวุธปืน และเคยแสดงความผิดหวังที่ลูกสาวดาราดัง แองเจลินา โจลี (Angelina Jolie) ออกมาแสดงออกต่อต้านสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสในปี 2023
ในขณะที่ ดัสติน ฮอฟแมน (Dustin Hoffman) ก็เคยถูกสังคมตั้งข้อสงสัย หลังจากที่ในปี 2017 แอนนา เกรแฮม ฮันเตอร์ (Anna Graham Hunter) นักเขียนได้ออกมาเปิดโปงว่า ฮอฟแมนเคยถูกคุกคามทางเพศทั้งทางวาจาและการกระทำ ในระหว่างที่เธอเป็นเด็กฝีกงานในกองถ่ายหนังฉายทางโทรทัศน์เรื่อง ‘Death of a Salesman’ (1985) ที่ฮอฟแมนร่วมแสดง ซึ่งตอนนั้นเธอมีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น
ต่อมา เวนดี ริส แกตซิอูนิส (Wendy Riss Gatsiounis) โปรดิวเซอร์ที่เคยทำงานกับเขาก็ออกมาแฉว่า ในปี 1991 เธอได้ติดต่อขายบทกับฮอฟแมนเพื่อนำไปทำเป็นหนัง แต่เธอกลับโดนคำถามในเชิงคุกคามว่า “เคยมีอะไรกับผู้ชายอายุเกิน 40 หรือไม่ ? ” รวมทั้งพยายามจะชักชวนเธอไปโรงแรม จนเธอปฏิเสธ ในเวลานั้นฮอฟแมนได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาจะทำแบบนั้น และขอโทษหากการกระทำของเขาทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
นักแสดงอีกคนที่มีชื่อเสียงอื้อฉาวมาโดยตลอดก็คือ ไชอา เลอบัฟ (Shia LaBeouf) ที่นอกจากจะโด่งดังจากพฤติกรรมแปลก ๆ แล้ว ในปี 2020 เอฟเคเอ ทวิกส์ (FKA Twigs) อดีตแฟนสาวได้ฟ้องเลอบัฟในข้อหาใช้ความรุนแรงและทำร้ายร่างกาย ในช่วงระหว่างปี 2018-2019 หลังจากที่ทั้งคู่ร่วมงานในหนัง ‘Honey Boy’ (2019) โดยทวิกส์ได้กล่าวหาว่าอดีตแฟนหนุ่มเคยก่อเหตุหลายต่อหลายครั้ง ทั้งถูกขู่ว่าจะขับรถชนเพื่อบังคับให้เธอบอกรักเขา รวมทั้งเคยถูกบีบคอ ถูกโวยวายใส่หน้า แสดงอาการหึงหวงอย่างรุนแรง รวมทั้งทำให้เธอติดโรคทางเพศสัมพันธ์ด้วย
แม้พฤติกรรมของเลอบัฟจะทำให้เขาถูกแบนจนแทบจะไม่มีผลงานในฮอลลีวูด แต่ด้วยฝีมือการแสดง ก็ทำให้คอปโปลาตัดสินใจเลือกเขามาร่วมงานในหนังเรื่องนี้
“ไชอาเป็นคนที่เข้าถึงบทบาทได้อย่างแท้จริง ผมไม่เคยมีประสบการณ์การทำงานกับเขามาก่อนหน้านั้น แต่เขามักจะจงใจสร้างความตึงเครียดระหว่างตัวเขากับผู้กำกับอย่างมาก เขาทำให้ผมนึกถึง เดนนิส ฮอปเปอร์ (Dennis Hopper) ที่มักจะทำอะไรทำนองนี้เหมือนกัน และจากนั้นก็ต้องคอยบอกเขาว่า ‘งั้นทำอะไรก็ได้เลย’ แล้วเขาก็จะทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมออกมาได้ในที่สุด”
นอกจากนี้ คอปโปลายังได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับกรณีข่าวอื้อฉาวที่เขาเดินเข้าไปกอดและจูบนักแสดงประกอบหญิง ในระหว่างถ่ายทำ ‘Megalopolis’ เขากล่าวอ้างว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่เป็นไปเพื่อจะต้องการทำลายตัวหนัง
“คุณคงพูดถึงบทความของ The Guardian ซึ่งมันไม่เป็นความจริงเลย ถ้าคุณได้อ่านบทความนั้น คุณจะรู้ว่าบุคคลที่ให้ข้อมูลเป็นคนกลุ่มเดียวกับที่ให้ข้อมูลในบทความของ The Hollywood Reporter ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าแหล่งข่าวมาจากไหน บทความนั้นบอกว่ามีทีมงานที่ถูกไล่ออก และมีคนที่ทยอยกันลาออกไปจำนวนมาก”
“ซึ่งความจริงก็คือพวกเขากำลังหาข้อมูลแง่ลบบางอย่างมาโจมตี ผู้หญิงที่ผมจูบที่แก้มในฉากวันปีใหม่นั่นก็เป็นผู้หญิงที่ผมรู้จักอยู่แล้ว มันช่างน่าตลกจริง ๆ ลองไปดูนะ เวลาที่บทความพวกนั้นถูกปล่อยมา เป็นช่วงเวลาที่เราจะฉายหนังรอบปฐมทัศน์ที่ Cannes พอดี พวกเขาแค่พยายามจะทำลายภาพยนตร์เท่านั้นเอง”
“มีเทรนด์ในฮอลลีวูดที่แพร่หลายอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าคุณปฏิบัติตามกฎของเรา คุณก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น ‘แล้วฟรานซิสล่ะ ? เขาไม่ได้ปฏิบัติตามกฎนี่นา งั้นลองดูสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา นั่นไง เขากำลังจะล้มเหลว’ ผมเลยพยายามทำสิ่งที่แตกต่างออกไป”
“สำหรับผม ภาพยนตร์คือการเปลี่ยนแปลง หมายความว่า ภาพยนตร์ที่หลาน ๆ ของคุณกำลังจะทำ มันจะไม่มีอะไรที่เหมือนกับที่เราได้เห็นในตอนนี้เลย”