หากจะพูดถึงผลงานการกำกับของ ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) ก็มักจะมีภาพของนักแสดงอย่าง ไมเคิล คีตัน (Michael Keaton) คู่กันอยู่เสมอ เพราะคีตันถือเป็นนักแสดงคนแรก ๆ ในอาชีพของเบอร์ตัน ทั้งการรับบทเป็นผีบีเทิลจู๊ดส์ใน ‘Beetlejuice’ (1988) จนกระทั่งความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ก็ส่งให้เบอร์ตันและคีตันได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในหนังซูเปอร์ฮีโรบล็อกบัสเตอร์ ‘Batman’ (1989) และ ‘Batman Returns’ (1992)
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่การร่วมงานของทั้งคู่นั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง นั่นก็คือ ‘Dumbo’ (2019) หนังไลฟ์แอ็กชันรีเมกจากแอนิเมชัน ‘Dumbo’ ของ Walt Disney ที่ฉายในปี 1941 ที่สร้างความผิดหวังทั้งในแง่ของรายได้ คำวิจารณ์ กระแสพูดถึง และแน่นอนว่านี่เป็นผลงานที่ไม่น่าพอใจของเบอร์ตัน รวมทั้งคีตัน ที่รับบทเป็น วี.เอ. แวนเดเวียร์ นักธุรกิจหน้าเงินเจ้าของคณะละครสัตว์ Dreamland ที่ต้องการแย่งชิงดัมโบ ช้างน้อยบินได้ เพื่อมาเป็นดาวเด่นของคณะละครสัตว์ของตัวเอง
ในปีนี้ คีตันได้กลับมารับบทผีบีเทิลจู๊ดส์ บทบาทโด่งดังของเขาอีกครั้งใน ‘Beetlejuice Beetlejuice’ หนังภาคต่อที่ห่างจากภาคแรกนานถึง 36 ปี โดยล่าสุด เบอร์ตัน และคีตัน รวมทั้งนักแสดงจากหนังเรื่องนี้ได้ให้สัมภาษณ์กับ The New York Times ซึ่งนอกจากจะเป็นการกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งของทั้งคู่แล้ว คีตันยังได้เปิดเผยความรู้สึกผิดหวังต่อบทบาทใน ‘Dumbo’ ในระดับที่ทำให้เขาคิดว่า การแสดงของเขาในหนังเรื่องนี้ย่ำแย่จนอาจทำให้ผู้กำกับคู่ใจต้องผิดหวัง
คีตัน: “ผมชอบทำงานกับทิมมาก แต่ผมไม่คิดว่าเราจะเคยมานั่งวิเคราะห์กันจริง ๆ จัง ๆ นะว่าทำไมเราถึงทำงานเข้าขากันได้ขนาดนี้ เราก็แค่ทำงานกันไปตามนั้น แต่ผมคิดว่าผมเคยทำให้เขาผิดหวังในหนังเรื่องหนึ่งนะ คือมันเป็นความรู้สึกส่วนตัวของผมเองแหละ และมันก็ยังคอยรบกวนจิตใจผมมาจนถึงทุกวันนี้ กับ ‘Dumbo’ เป็นอะไรที่ผมไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับมันเลย ผมว่าผมแสดงใน ‘Dumbo’ ได้ห่วยแตกสุด ๆ”
เบอร์ตัน: “ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ แต่ว่าช่างมันเถอะ”
‘Dumbo’ เป็นผลงานชิ้นล่าสุดของเบอร์ตันที่กลับไปร่วมงานภายใต้ชายคา Walt Disney ซึ่งเป็นบริษัทที่เบอร์ตันเคยทำงานเป็นแอนิเมเตอร์ ก่อนจะโดนไล่ออกเพราะแนวทางการสร้างสรรค์ของเขาที่ขัดกับภาพลักษณ์ของสตูดิโอ ก่อนที่เขาจะได้หวนกลับมาทำงานกับ Disney อีกครั้ง ด้วยการเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับหนังโมชันแคปเจอร์ ‘The Nightmare Before Christmas’ (1993) ภายใต้บริษัทลูก Touchstone Pictures
หลังจากเข้าฉาย ‘Dumbo’ กลายเป็นผลงานที่ได้รับคำวิจารณ์ทั้งในแง่บวก จากการแสดงของคีตัน และ แดนนี เดอวีโต (Danny DeVito) รวมทั้งคำวิจารณ์ในแง่ลบ จากเรื่องราวของช้างน้อยดัมโบที่ค่อนข้างเก่าแก่จนคนรุ่นใหม่ไม่อินเท่ากับแอนิเมชันเรื่องก่อนหน้าที่ Disney เคยเอามารีเมก ทำให้หนังเรื่องนี้ได้กระแสตอบรับที่ไม่ค่อยดีนัก ทำรายได้ทั่วโลกเพียง 353 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างที่สูงถึง 170 ล้านเหรียญ
จนกระทั่งในปี 2022 เบอร์ตันได้ให้สัมภาษณ์ระหว่างเข้าร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ลูมิเยร์ (Lumière Festival) ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเบอร์ตันได้กล่าวถึงความรู้สึกอันเหลือทนในการร่วมงานกับ Disney ถึงขั้นลั่นวาจาว่าหนังเรื่องนี้อาจเป็นผลงานสุดท้ายที่เขาจะร่วมทำงานกับ Disney
“ตามประวัติของผม ผมเริ่มต้นอาชีพที่นั่น ผมถูกจ้างที่นั่น แล้วก็ถูกไล่ออกหลายครั้งตลอดอาชีพของผม สิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ‘Dumbo’ ก็คือ มันเป็นเหตุผลที่ผมคิดว่า วันเวลาของผมกับ Disney มันคงจบลงไปแล้ว ผมตระหนักได้ว่าตัวผมเองคือ ‘Dumbo’ ที่กำลังทำงานอยู่ในคณะละครสัตว์ขนาดใหญ่ที่แสนน่ากลัวแห่งนี้ และผมจำเป็นต้องหลบหนีออกมา หนังเรื่องนี้มันสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตของผมได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว”
เบอร์ตันเน้นย้ำความรู้สึกนี้อีกครั้งในการสัมภาษณ์กับ Variety ที่เขาเปิดเผยความรู้สึกว่า ‘Dumbo’ และการร่วมงานกับบ้านหนูยักษ์ คือสิ่งที่ทำให้เขาเริ่มคิดที่จะเกษียณตัวเองจากการเป็นผู้กำกับ จนกระทั่งอีก 6 ปีถัดมา เขาก็กลับมาอีกครั้งกับโปรเจกต์ภาคต่ออย่าง ‘Beetlejuice Beetlejuice’ ที่ห่างจากภาคแรกไปนานถึง 36 ปี
ซึ่งเบอร์ตันได้ให้เครดิตหนังเรื่องนี้ที่ช่วยรื้อฟื้นความสนใจในการกำกับหนัง และความผิดหวังที่เขามีต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์อีกครั้ง หลังจากที่สูญเสียไปในผลงานเรื่องก่อนหน้า
“มันมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตอนช่วงที่โควิดระบาด ทุกอย่างเหมือนอยู่ในความไม่แน่นอน ดังนั้น แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองติดอยู่กับสิ่งนั้น ผมเลยหันไปทำงานที่เกี่ยวกับความรู้สึกและอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวของผม แล้วหลังจากนั้นซีรีส์ ‘Wednesday’ ก็เข้ามา ทำให้ผมกลับมาเชื่อมโยงกับการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ได้ เราไปถ่ายทำกันที่โรมาเนีย และมันรู้สึกเหมือนเป็นค่ายบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์เลย ผลลัพธ์มันออกมาดีมาก ๆ”
“พูดตามตรงก็คือ หลังจากที่ผมทำงาน ‘Dumbo’ เสร็จแล้ว ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน ผมว่ามันอาจเป็นจุดสิ้นสุดของผมจริง ๆ ผมอาจจะตัดสินใจจะเลิกกำกับ หรือไม่ก็…เอ่อ ผมคงไม่ได้เป็นแอนิเมเตอร์อีกต่อไปแล้วล่ะ จบกันแค่นี้ (หัวเราะ) แต่สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกมีพลังขึ้นมาอีกครั้ง”
“หลายครั้งที่คุณเข้าสู่วงการฮอลลีวูด คุณพยายามรับผิดชอบต่อสิ่งที่คุณทำ ไม่ว่าจะเรื่องงบประมาณหรือเรื่องอื่น ๆ แต่บางครั้งคุณก็มักจะสูญเสียตัวตนไปนิดหน่อยเสมอ สิ่งนี้ทำให้ผมตระหนักว่า การทำในสิ่งที่ผมอยากทำเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเมื่อผมทำแบบนั้น ทุกคนก็จะพลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย”
“พอผมอายุมากขึ้น บางครั้งชีวิตก็จะรู้สึกเหมือนเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อย และก็ทำให้ผมรู้สึกหลงทางไปบ้าง ดังนั้น สำหรับผมแล้ว หนังเรื่องนี้เลยเป็นเหมือนกับการเติมพลังให้กับตัวผมเอง เป็นการย้อนเวลากลับไปทำในสิ่งที่ผมชอบ ด้วยวิธีที่ผมชอบ และได้พบปะกับผู้คนที่ผมรักที่จะทำสิ่งนี้ด้วยกัน”