1 ในผลงานหนังเสียดสีสหรัฐอเมริกาที่ฉูดฉาดที่สุดของผู้กำกับรุ่นใหญ่ โอลิเวอร์ สโตน (Oliver Stone) ก็คงต้องยกให้กับ ‘Natural Born Killers’ (1994) หนังโรแมนติกฆาตกรรมที่ว่าด้วยเรื่องของ มิกกี และ มัลลอรี น็อกซ์ คู่รักฆาตกรต่อเนื่องที่ออกเดินทางไล่สังหารผู้คนไปทั่ว ข่าวของทั้งคู่กลายเป็นที่สนใจ และกลายเป็นไอดอลบนหน้าสื่อ จากการนำเสนอของนักข่าวจอมหิว เวย์น เกล ผ่านเรื่องราวสุดเซอร์เรียล ฉากความรุนแรง และการวิพากษ์การทำงานของสื่ออันย้อนแย้งอย่างตรงไปตรงมา
ในวาระครบรอบ 30 ปีหนังสุดเซอร์เรียลเรื่องนี้ นิตยสาร Esquire ได้เผยแพร่บทความเบื้องหลังการถ่ายทำของหนังเรื่องนี้ในทุกแง่มุม หนึ่งในเบื้องหลังเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ก็คือ ฉากสุดท้ายของตัวหนัง เป็นฉากที่มิกกี มัลลอรี และเวย์นหลบหนีออกมาจากเหตุจลาจลในเรือนจำ ก่อนจะก่อเหตุลงมือสังหารเวย์น พร้อมกับกล้องที่กำลังถ่ายทอดสด ราวกับว่าเขากลายมาเป็นเหยื่อข่าวเสียเอง ส่วนมิกกีและมัลลอรีหลบหนีไปได้ในที่สุด
ในฉากนี้ โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.) นักแสดงหนุ่มวัย 27 ปี ที่เพิ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก ‘Chaplin’ (1993) ผู้รับบทเป็นเวย์นดันทะลึ่งด้นสด ด้วยการจุ่มชายเสื้อเชิ้ตด้านหน้าของเขาด้วยเลือดปลอม ก่อนจะรูดซิปกางเกง และดึงชายเสื้อออกมาให้ดูเหมือนกับอวัยวะเพศที่กำลังเปื้อนเลือด ท่ามกลางฉากสังหารโหดครั้งสุดท้ายอันเดือดดาล
และนั่นก็ทำให้ผู้กำกับอย่างสโตน ที่กำลังเคร่งเครียดจากการถ่ายทำวันที่ 56 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของกองถ่าย ถึงกับหงุดหงิดกับการทำตลกไร้สาระของนักแสดงหนุ่มจนต้องตะคอกออกมา
“พระเจ้า มันชักจะเกินไปแล้วโว้ย โรเบิร์ต ! นายนี่เลอะเทอะเกินไปแล้วนะ…นายกำลังจะทำลายหนังฉัน ! เลิกทำไอเดียโง่ ๆ นั่นสักที นี่ไม่ใช่…นี่ไม่ใช่หนังตลกปัญญาอ่อนนะโว้ย !”
‘Natural Born Killers’ เป็น 1 ใน 3 ของบทหนังที่เขียนขึ้นโดยผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง เควนทิน ทารันทิโน (Quentin Tarantino) เช่นเดียวกับ ‘True Romance’ (1993) และ ‘From Dusk Till Dawn’ (1996) หลังจากที่ทารันทิโนประสบความสำเร็จจากการกำกับหนังเรื่องแรก ‘Reservoir Dogs’ (1992) ค่ายหนังต่างก็เริ่มหยิบบทที่เขาเขียนและเสนอไปยังสตูดิโอต่าง ๆ ขึ้นมาสร้างหนัง
แต่สุดท้าย Warner Bros. กลับนำบทหนังที่ทารันทิโนขายให้กับโปรดิวเซอร์ในราคา 10,000 เหรียญมาแก้ไขใหม่ โดยมีสโตนร่วมแก้ไขบทด้วย (ส่วนทารันทิโนได้เครดิตเนื้อเรื่องแทน)
ตัวหนังนำเสนอด้วยภาพและวิธีการเล่าเรื่องอันสุดโต่ง ทั้งมุมกล้องแบบ Dutch Angle การตัดสลับภาพสีและขาวดำ การตัดสลับฟุตเทจข่าวจริงของอเมริกัน การใช้สัญญะด้านภาพและแสงสีเพื่อเล่าเรื่อง ตัวหนังทำรายได้พอสมควรที่ 110 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 34 ล้านเหรียญ ส่วนตัวหนังได้รับคำวิจารณ์เสียงแตก แต่นอกจากนี้ ตัวหนังยังถูกกล่าวอ้างว่าเป็นแรงบันดาลใจของฆาตกรที่ทำให้เกิดเหตุฆาตกรรม และเหตุสังหารหมู่หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาด้วย
และด้วยความที่ตัวหนังได้รับคำวิจารณ์แง่ลบ โดยเฉพาะบทภาพยนตร์ แม้ทารันทิโนจะเป็นเจ้าของไอเดียเรื่องราว แต่เขาเองกลับไม่ชอบหนังเรื่องนี้เลย จนถึงขั้นที่เขาพยายามจะตีพิมพ์บทต้นฉบับดั้งเดิมออกมาเป็นหนังสือ จนเมื่อมีคนที่เริ่มตามหาผลงานของเขามากขึ้น ทารันทิโนจึงให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหนังเรื่องนี้ ถึงขั้นกล่าวประโยคที่ว่า “ผมล่ะโคตรจะเกลียดหนัง-่านี่ ถ้าชอบงานของผม ก็จงอย่าดูหนังเรื่องนั้นเลย”
หนังเรื่องนี้ยังคาบเกี่ยวช่วงที่ดาวนีย์ จูเนียร์กำลังเริ่มต้นเข้าสู่วังวนของยาเสพติด ชนิดที่เรียกว่าทุกครั้งที่เข้าฉาก เขามักจะเข้ากองถ่ายมาด้วยสภาพที่ไม่มึนเมาด้วยฤทธิ์ยา ก็งัวเงียจนเกือบจะหลับตลอดเวลา (ก่อนที่เขาจะถูกจับกุมเกี่ยวกับคดียาเสพติด หลบหนีการจับกุม และพกพาอาวุธในปี 1996) ดาวนีย์ จูเนียร์บรรยายสภาพของตัวเขาเองในเวลานั้นว่า “ครั้งเดียวที่ผมตื่น ก็คือช่วงระหว่างคำว่าแอ็กชัน กับคำว่าคัต” (หัวเราะ)
ครั้งหนึ่ง เขาต้องถ่ายทำฉากสำคัญ เป็นฉากที่เวย์นเข้าไปสัมภาษณ์มิกกีถึงในเรือนจำ แต่คืนก่อนหน้านั้น ดาวนีย์ จูเนียร์เพิ่งจะออกไปเที่ยวและเมามายจนแทบไม่เหลือสติ เพราะเขาคิดว่าน่าจะมีเวลามากพอที่จะฟื้นจากอาการเมาค้าง แต่กลายเป็นว่า ตารางกายถ่ายทำฉากนั้นกลับถูกเลื่อนให้เร็วขึ้นกว่าเดิม
“จนถึงวันนี้ มันยังเป็นหนึ่งในการแจ้งเตือนที่น่ากลัวที่สุดที่ผมเคยเจอเลย เพราะว่าฉากนั้นมีบทยาวถึง 7 หน้า ผมมากองถ่าย และผมก็แสดงอะไรไม่ได้เลยวันนั้น แล้วหลังจากนั้นผมก็ได้รับการฉีดวิตามิน B12 เพื่อบำบัดอาการ และหลังจากนั้นผมก็ได้มีช่วงเวลา 9 ชั่วโมงอันรื่นรมย์ ผมอ่านหน้ากระดาษบทจากซ้ายไปขวา เอามาวางเรียงบนพื้น อ่านแค่ 2 รอบ และผมก็สามารถจำบทได้หมดโดยที่ไม่ต้องอ่านซ้ำอีกเลย”
สโตนเล่าอีกว่า ไม่ใช่แค่ดาวนีย์ จูเนียร์ที่พัวพันกับยาเสพติดในระหว่างถ่ายทำหนังเรื่องนี้ แม้แต่ วูดดี แฮร์เรลสัน (Woody Harrelson) เจ้าของบท มิกกี น็อกซ์ ที่แจ้งเกิดในหนังเรื่องนี้ก็เช่นกัน “ที่ผมอยากจะบอกก็คือ (กองถ่ายหนังเรื่องนี้) มันเหมือนกับสวนสัตว์เหมือนกันนะ ในแง่ที่ว่านักแสดงทุกคนต่างก็หลอนยากันไปคนละแบบ ผมคิดว่าวูดดีน่าจะเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะมากที่สุดแล้วล่ะ”
แฮร์เรลสัน ดาราผู้คร่ำหวอดในแวดวงกัญชา และมีธุรกิจร้านขายกัญชาของตัวเอง กล่าวเพิ่มเติม “โอลิเวอร์ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาหน่อย ผมไม่ได้อยากยกว่าตัวเองเป็นคนดีมีศีลธรรมอะไรแบบนั้นหรอกนะครับ แต่ในกองถ่าย ผมเป็นคนที่ใช้ยาเสพติดน้อยสุดแล้ว ! มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอาชีพหรือแม้แต่ในชีวิตของผม แล้วก็ไม่เคยมีใครที่ใช้ยาเสพติดมากกว่าผมด้วย แต่สำหรับผมในหนังเรื่องนี้ ผมคือแม่ชีดี ๆ นี่เอง”