นับตั้งแต่ที่ แดเนียล เครก (Daniel Craig) ได้สั่งลาการรับบทเป็น เจมส์ บอนด์ ไปในภาคที่ 25 ที่ใช้ชื่อว่า ‘No Time To Die’ (2021) สิ่งที่หลายคนจับตามองมายาวนานก็คือ นักแสดงคนไหนที่จะเข้ามารับบทสายลับรหัส 007 เป็นคนที่ 7 ในขณะที่หลายคนก็จับตามองไปพร้อมกันด้วยว่า ท่ามกลางช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ทิศทางของแฟรนไชส์หนัง James Bond หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป หรือจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงพัฒนาไปจากรูปแบบเดิม ๆ ที่เห็นกันมาอย่างยาวนานบ้าง
ส่วนฝั่งของเครก หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการรับบทสร้างชื่อของเขา ก็เริ่มหันไปรับงานแสดงที่มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งการรับบทเป็นนักสืบเบอนัวต์ บลองก์ ในแฟรนไชส์หนังไขรหัสคดีตลกร้าย ‘Knives Out’ ที่ดำเนินมาถึงภาคที่ 3 แล้วในชื่อว่า ‘Wake Up Dead Man: A Knives Out Mystery’ ที่มีกำหนดฉายในปีหน้าที่จะถึงนี้ ซึ่งเครกเคยเปิดเผยว่าตัวละครของเขานั้นเป็นเกย์
และล่าสุด เครกได้รับบทเกย์อีกครั้งในหนังเรื่องใหม่ ‘Queer’ ผลงานล่าสุดของผู้กำกับ ลูกา กัวดานินโญ (Luca Guadagnino) ที่ว่าด้วยเรื่องของ วิลเลียม ลี ชายชาวอเมริกันที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ ยูจีน อัลเลอร์ตัน อดีตทหารเรือสหรัฐฯ ที่แสดงโดย ดรูว์ สตาร์คีย์ (Drew Starkey) ท่ามกลางบรรยากาศของเมืองเม็กซิโกซิตีในช่วงทศวรรษ 1940 ซึ่งมีโอกาสได้เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส (Venice International Film Festival) เรียกเสียงปรบมือยาวนานกว่า 8 นาทีจากผู้ชมในงาน
ในงานแถลงข่าวเครกและกัวดานินโญได้มีโอกาสให้สัมภาษณ์ตอบคำถาม จนกระทั่งนักข่าวคนหนึ่งได้ถามคำถามที่ทำเอาเครกถึงกับหัวเราะและมองบนเล็กน้อยว่า “คุณคิดว่า James Bond เป็นเกย์หรือเปล่า?” เครกไม่ได้ตอบอะไร แต่เป็นกัวดานินโญที่ตอบคำถามกับสื่อว่า
“พวกเราในห้องนี้ลองทำตัวเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กันสักนิดดีไหม? เพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้ว ไม่มีใครที่จะรู้ได้หรอกว่า เจมส์ บอนด์ มีความต้องการแบบไหนกันแน่ จบนะ…ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญคือ เขาต้องทำภารกิจให้สำเร็จ” เรียกเสียงปรบมือและหัวเราะกับคำตอบ ก่อนที่เขาจะยื่นมือไปแตะศีรษะของเครกเบา ๆ และกล่าวว่า “ฉันรักนาย”
นอกจากการเปลี่ยนนักแสดงผู้รับบทเป็น เจมส์ บอนด์ คนใหม่ หลังจากที่เครกได้ฝากผลงานการรับบทสายลับที่มีความเป็นคนธรรมดา เอาไว้ในหนังเจมส์ บอนด์ 5 ภาค และปิดจบยุคสมัยของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ แฟนหนังหลายคนก็คาดหวังว่า นี่อาจเป็นจังหวะที่ดีในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของแฟรนไชส์
รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนเพศสภาพของตัวละครให้แตกต่างจากนิยายต้นฉบับ จนมีข่าวลือว่า เจมส์ บอนด์ คนต่อไป อาจไม่ใช่แค่นักแสดงชายชาวอังกฤษเท่านั้น แต่อาจเป็นได้ทั้งผู้ชายผิวดำ ผู้หญิงผิวดำ หรือไม่ก็อาจจะเป็นสายลับยุคใหม่ที่ไม่ยึดติดกับกรอบเพศสภาพแบบเดิม ๆ อีกต่อไป
เบน วิชอว์ (Ben Whishaw) นักแสดงเจ้าของบท Q ผู้ช่วยอัจฉริยะของเจมส์ บอนด์ ที่ Come Out ตัวเองว่าเป็นเกย์มาตั้งแต่ปี 2014 เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Attitude ในเชิงสนับสนุนให้นักแสดงที่เป็นเกย์มารับบท เจมส์ บอนด์ คนใหม่ ในขณะที่ บาร์บารา บร็อกโคลี (Barbara Broccoli) โปรดิวเซอร์ผู้ควบคุมงานสร้างของหนังชุดนี้แห่งสตูดิโอ Eon Productions ได้เปิดเผยกับ The Hollywood Reporter ว่า เธอไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการเปลี่ยนเพศของเจมส์ บอนด์คนใหม่ให้กลายเป็นผู้หญิง
“ฉันคิดว่าควรจะเป็นผู้ชาย เพราะฉันไม่คิดว่าผู้หญิงควรจะเล่นบท เจมส์ บอนด์ ฉันเชื่อในการสร้างคาแรกเตอร์สำหรับผู้หญิง แต่ไม่ใช่การเอาผู้หญิงมาแสดงบทของผู้ชาย ฉันคิดว่าเรายังมีบทสำหรับผู้หญิงที่ยังไม่ดีพอ และสำหรับฉัน มันสำคัญมากถ้าเราจะสร้างหนังที่เกี่ยวกับผู้หญิงที่ทำเพื่อผู้หญิงจริง ๆ เจมส์ บอนด์ควรจะเป็นชาวอังกฤษ และเป็นชาวอังกฤษที่สามารถเป็นได้อย่างหลากหลาย (ในแง่ของชาติพันธุ์)”
ในขณะที่เครกเองก็เคยให้สัมภาษณ์กับ Radio Times เกี่ยวกับการไม่เห็นด้วยที่จะเปลี่ยนสายลับ 007 ให้เป็นผู้หญิงว่า คำตอบมันง่ายมากครับ เราควรมีบทที่ดีกว่าสำหรับผู้หญิงและนักแสดงผิวสี ทำไมผู้หญิงจะต้องมารับบท เจมส์ บอนด์ ในเมื่อเราต้องควรที่จะมีบทที่ดีเทียบเท่ากับเจมส์ บอนด์ แต่เป็นของผู้หญิง”
รวมทั้ง อนา เดอ อามัส (Ana de Armas) นักแสดงเจ้าของบทพาโลมา สายลับสาวสุดเซ็กซี่จากภาค ‘No Time To Die’ ก็เคยเปิดเผยกับ The Sun ในเชิงเห็นด้วยกับเรื่องนี้ว่า เจมส์ บอนด์ ควรจะเป็นผู้ชายต่อไป “ไม่จำเป็นต้องมีบอนด์หญิงหรอกค่ะ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องขโมยตัวละครของคนอื่นมาใช้ มันคือเรื่องราวในนิยาย และสิ่งนี้เป็นตัวนำพาไปสู่โลกของเจมส์ บอนด์ และจินตนาการในจักรวาลในแบบที่เขาอยู่”
“สิ่งที่ฉันต้องการก็คือ แม้ว่าเขาจะยังเป็นผู้ชายอยู่ แต่ควรจะมีการเพิ่มบทบาทของผู้หญิงในหนังเจมส์ บอนด์ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป ให้พวกเธอได้มีบทบาทที่สำคัญและได้รับการยอมรับมากขึ้น นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจกว่าการพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งเดิม ๆ”