ถ้าพูดถึงหนังสายเควียร์ (Queer) ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของผู้กำกับสายเควียร์ ท็อดด์ เฮนย์ส (Todd Haynes) ก็คงต้องยกให้ ‘Carol’ (2015) เพราะนอกจากจะเป็นหนังที่พูดถึงความโรแมนติกของคู่เลสเบียนแล้ว ตัวหนังยังนำเสนอเรื่องราวประเด็นสังคม และเรื่องราวภายในความสัมพันธ์ของคู่รักเลสเบียน ที่ เคต แบลนเชตต์ (Cate Blanchett) และรูนีย์ มารา (Rooney Mara) ต่างโชว์พลังการแสดงออกมาผ่านงานภาพอันประณีต จนกลายเป็นหนังที่กวาดรางวัลจากหลายเวที

แต่กว่าหนังเรื่องนี้จะได้ออกสู่สายตา ก็ต้องผ่านอุปสรรคจากบรรดานายทุนยุคนั้นที่ไม่เชื่อมั่นในหนังที่มีผู้หญิงรับบทนำ แบลนเชตต์ได้เล่าถึงเรื่องนี้ในระหว่างการสนทนา ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต (Toronto International Film Festival – TIFF) ซึ่งเธอได้มีโอกาสเล่าถึงเบื้องหลังและอุปสรรคของหนังเรื่องนี้ ตั้งแต่การเปลี่ยนมือผู้กำกับมากมาย การประสบปัญหาเรื่องทุนสร้างจนทำให้โปรเจกต์หยุดชะงัก เพราะนายทุนมองว่าไม่มีใครอยากดูหนังที่มีผู้หญิงเป็นตัวละครเอก และความรักระหว่างผู้หญิงด้วยกัน

“มีช่วงหนึ่งที่เคยมีผู้กำกับอีกคนจะมากำกับเรื่องนี้ด้วย แต่เขาก็ถูกถอดออกจากโปรเจกต์ไป และนั่นก็ทำให้ฉันเองถอนตัวจากโปรเจกต์นี้ด้วย มันกินเวลายาวนานถึง 5 ปี เพราะในตอนนั้นไม่มีใครที่อยากจะให้ทุนสร้าง ไม่มีใครอยากดูหรอก ใครจะอยากไปดูหนังที่มีผู้หญิงคนหนึ่งแสดงเป็นตัวเอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความรักระหว่างผู้หญิง 2 คนเลย มันเป็นอะไรที่โชคร้ายมาก ถือเป็นความเสี่ยงมาก ๆ ในตอนนั้น”

Cate Blanchett Rooney Mara Carol

‘Carol’ ดัดแปลงจากหนังสือนิยาย ‘The Price of Salt’ ที่เขียนโดย แพทริเซีย ไฮสมิธ (Patricia Highsmith) ที่วางแผงครั้งแรกในปี 1952 เล่าเรื่องของแครอล แอร์ด หญิงวัยกลางคนที่มีพร้อมทั้งครอบครัว ฐานะ หน้าที่การงาน และหน้าตาในสังคม ที่มีความสัมพันธ์กับเทเรซา บีลิเวต หญิงสาววัย 20 ปี มีอาชีพทำงานเป็นพนักงานในห้างสรรพสินค้า ท่ามกลางบรรยากาศเทศกาลคริสต์มาสในมหานครนิวยอร์กช่วงปี 1952

แต่เดิมโปรเจกต์หนังเรื่องนี้มีการเริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี 1997 หลังจากที่ โดโรธี เบอร์วิน (Dorothy Berwin) โปรดิวเซอร์ได้ซื้อลิขสิทธิ์นิยายเรื่องนี้มาไว้ในครอบครองตั้งแต่ปี 1996 ก่อนที่จะมอบหมายให้ ฟิลลิส นากี (Phyllis Nagy) นักเขียนบทผู้เป็นเพื่อนของไฮสมิธดัดแปลงบทร่างแรกขึ้นมา

แต่อุปสรรคที่หนังเรื่องนี้ต้องเจอก็คือการหาสตูดิโอที่จะเป็นผู้สนับสนุนทุนสร้าง เพราะสตูดิโอในเวลานั้นยังไม่ยอมรับเนื้อหาแนวเลสเบียน ในขณะที่นักแสดงดัง ๆ หลายคนก็ไม่อยากรับบทแนวนี้ และรับบทที่มีฉากเลิฟซีนเรต R เพราะมองว่าอาจจะทำให้ชื่อเสียงด่างพร้อย

บทหนังถูกนำเสนอผ่านนายทุนหลายราย ผ่านการแก้ไขบท และมีผู้กำกับเข้ามาดูแลโปรเจกต์มากมายหลายคนอยู่นานนับทศวรรษ แต่ก็ต้องประสบกับปัญหาความกังวลแบบเดิม ๆ มีช่วงที่โปรเจกต์หยุดชะงักลงไป จนกระทั่งปี 2012 หนังจึงเพิ่งจะได้ทุนสร้าง และได้ จอห์น ครอว์ลีย์ (John Crowley) มากำกับ พร้อมกับได้แบลนเชตต์มาร่วมแสดงนำ และรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์

แต่ในปีถัดมา ครอว์ลีย์ก็ถอนตัวออกไปด้วยปัญหาเกี่ยวกับตารางงาน ทำให้แบลนเชตต์เองก็ตัดสินใจถอนตัวจากโปรเจกต์ด้วยเช่นกัน จนในเวลาต่อมา เฮนย์สจึงได้ตัดสินใจตกลงมากำกับหนังเรื่องนี้หลังจากที่ได้อ่านสำเนาบทหนังไปเพียงแค่ 2 วัน

ตัวหนังประสบความสำเร็จในแง่ของคำวิจารณ์อย่างมาก ได้เข้าฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (Cannes Film Festival) ได้รับการยืนปรบมือ (Standing Ovation) 10 นาที และได้รับรางวัลจากเทศกาลนี้ 2 สาขา ทั้งสาขานักแสดงนำหญิงที่มาราได้รับ รวมทั้งรางวัล Queer Palm หรือหนังสาย LGBTQIA+ ของเทศกาล

นอกจากนี้ยังสามารถเข้าชิงรางวัลอีกมากมาย ทั้งเวทีลูกโลกทองคำ 4 สาขา และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 6 สาขา ซึ่งรวมทั้งสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ที่แบลนเชตต์ได้เข้าชิง และสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมที่มาราได้เข้าชิงเช่นเดียวกัน

Cate Blanchett Rooney Mara Carol

ในการสนทนาเดียวกัน แบลนเชตต์ยังได้เล่าถึงการจัดการเกี่ยวกับความขัดแย้งในความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งแม้ตลอดเวลาในการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ เธอจะไม่เคยมีความขัดแย้งกับเฮนย์ส แต่เธอก็เล่าเหตุการณ์หนึ่งซึ่งทำให้เธอตัดสินใจมอบพื้นที่ปลอดภัยให้กับผู้กำกับ แบบเดียวกับที่ผู้กำกับมักจะมอบพื้นที่ปลอดภัย เพื่อให้นักแสดงได้เปิดโอกาสให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานด้วยตัวเองโดยไม่พยายามตีกรอบจนมากเกินไป

“คืนหนึ่ง เรากำลังถ่ายทำฉากหนึ่งในหนัง บ้านที่ใช้ถ่ายทำเป็นบ้านร้างแปลก ๆ ซึ่งทำให้ เอ็ด ลาคแมน (Ed Lachman) ผู้กำกับภาพจัดแสงให้ฉากนั้นออกมาดูดีได้ยากมาก มันซับซ้อนมาก และตอนนั้นท็อดด์เองก็กำลังลำบากเหมือนกัน”

“คุณคงคาดหวังว่าผู้กำกับจะสามารถจัดการทุกอย่างได้ตลอดเวลา แต่บางครั้งพวกเขาก็เป็นฝ่ายที่ต้องการการปลอบโยนเหมือนกันนะ ฉันเลยบอกว่า ‘ทำไมคุณไม่ลองไปพักก่อนแป๊บหนึ่ง ทำหัวโล่ง ๆ สักหน่อยล่ะ ?’ เราสร้างพื้นที่ให้กับเขา เหมือนกับที่เขาก็สร้างพื้นที่ให้กับนักแสดงเหมือนกัน”

“มันเป็นการทำงานที่ค่อนข้างจะลื่นไหลนะคะ ฉันไม่เคยมีความขัดแย้งอะไรกับเขา เขาเป็นคนที่หลีกเลี่ยงความขัดแย้ง แต่นั่นไม่ได้แปลว่าจะต้องเห็นด้วยเสมอไป มีสิ่งที่เข้าใจผิดกันว่า การทำหนังที่ดีเหมือนการเข้าค่ายฤดูร้อน ฉันเคยอยู่ในกองถ่ายแบบนั้นมาบ้าง และสุดท้ายหนังที่ออกมาพวกนั้นแ-่งแย่มาก”

“การไม่เห็นด้วยอย่างสุภาพ และเคารพซึ่งกันและกัน สำคัญมากในกระบวนการสร้างสรรค์ และคุณจะรู้ได้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อคุณสามารถต่อสู้เพื่อบางสิ่งบางอย่างได้ แต่ก็ยังยอมให้ตัวเองเปลี่ยนใจได้ด้วย”