เดอนีส วีลเนิฟว์ (Denis Villeneuve) ผู้กำกับ ”Dune: Part One’ (2021) และ ‘Dune: Part Two’ (2024) ได้ให้สัมภาษณ์กับ Vanity Fair ว่าเขามีความตั้งใจจะไปทำโปรเจกต์อื่นหลังจากสร้าง ‘Dune 3’ เสร็จแล้ว และยืนยันว่าจะทำให้ ‘Dune 3’ เป็นรากฐานสำคัญของแฟรนไชส์ในอนาคต
ผมได้ใช้เวลาในโลกแห่งทะเลทรายของดาวอาร์ราคิส (Arrakis) มานานหลายปี และผมอยากจะไปทำอย่างอื่นบ้าง ผมมีไอเดียที่จะทำให้ 'Dune: Messiah' เป็นภาพยนตร์ที่วางรากฐานสำคัญของแฟรนไชส์ เพื่อให้ผู้สร้างภาพยนตร์สานต่อไปยังโปรเจกต์อื่น ๆ ต่อไป
วีลเนิฟว์ได้กล่าวต่อเนื่องไปถึงนิยายชุด ‘Dune’ ของแฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต (Frank Herbert) ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1965 และมีทั้งสิ้น 6 เล่มด้วยกัน โดย ‘Dune’ ซึ่งเป็นเล่มแรกในชุดนี้ได้รับการดัดแปลงเป็น ‘Dune: Part One’ และ ‘Dune: Part Two’ ในขณะที่ ‘Dune: Messiah’ ซึ่งเป็นเล่มที่ 2 กำลังได้รับการดัดแปลงเป็นภาคที่ 3 ของแฟรนไชส์นี้
นี่เป็นนิยายที่งดงาม และดัดแปลงได้ยาก ซึ่งผมต้องการเสนอแนวคิดที่จะช่วยให้ดัดแปลงเนื้อหาได้ง่ายขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่จะสานต่อแฟรนไชส์ต่อไป
‘Dune: Part One’ ทำรายได้ทั่วโลกไป 407.6 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 165 ล้านเหรียญ และชนะรางวัลออสการ์ 6 สาขา และ ‘Dune: Part Two’ ก็ทำรายได้ทั่วโลกไปมหาศาลถึง 711.8 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 190 ล้านเหรียญ
นอกเหนือจากโปรเจกต์ ‘Dune 3’ หรือ ‘Dune: Messiah’ แล้วนั้น HBO ยังเตรียมฉายซีรีส์ ‘Dune: Prophecy’ ที่จะเล่าเรื่อง 10,000 ปี ก่อนเหตุการณ์ใน ‘Dune: Part One’ โดยจะเน้นสำรวจการก่อตั้งกลุ่มสตรีชุดดำที่เรียกว่า เบเนเจสเซริต (Bene Gesserit) ซึ่งอยู่เบื้องหลังการขึ้นครองอำนาจของหลายตระกูล
ซีรีส์ ‘Dune: Prophecy’ อำนวยการสร้างโดยวีลเนิฟว์ และควบคุมงานสร้างทั้งหมดโดย อลิสัน ชัปเกอร์ (Alison Schapker) ผู้สร้างซีรีส์ ‘Lost’, ‘Alias’, ‘Fringe’ และ ‘Westworld’