The New York Times ได้รายงานว่า ‘Beetlejuice Beetlejuice’ ผลงานกำกับล่าสุดของ ทิม เบอร์ตัน (Tim Burton) เคยถูกวางตัวให้ฉายบนบริการสตรีมมิง Max ที่ Warner Bros. เป็นเจ้าของ โดย พาเมลา แอ็บดี้ (Pamela Abdy) ซีอีโอของ Warner Bros. Entertainment ได้ให้สัมภาษณ์ว่า

ถ้าทำอย่างนั้นจะไม่เป็นผลดีกับทิมแน่ ๆ เรากำลังพูดถึงศิลปินมากวิสัยทัศน์ที่ผลงานของเขาควรต้องฉายบนจอใหญ่

‘Beetlejuice Beetlejuice’ เป็นภาคต่อจาก ‘Beetlejuice’ ภาพยนตร์แฟนตาซีตลกร้ายระดับคัลท์คลาสสิกเมื่อปี 1988 ซึ่งนอกจากเบอร์ตันจะกลับมากำกับแล้วนั้น ยังได้นักแสดงดั้งเดิมอย่าง ไมเคิล คีตัน (Michael Keaton), วิโนนา ไรเดอร์ (Winona Ryder) และ แคทเธอรีน โอฮารา (Catherine O’Hara) กลับมารับบทเดิมอีกครั้ง

Beetlejuice Beetlejuice
ทิม เบอร์ตัน ระหว่างกำกับ ไมเคิล คีตัน ในกองถ่าย ‘Beetlejuice Beetlejuice’

เดิมที ทีมผู้สร้างได้พิจารณาว่า ‘Beetlejuice Beetlejuice’ จะใช้ทุนสร้าง 147 ล้านเหรียญ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าธรรมเนียมงานสร้างและค่าเหนื่อยนักแสดง แต่ด้วยความที่เบอร์ตันไม่มีผลงานที่ประสบความสำเร็จด้านรายได้มากนักในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ทำให้แอ็บดี้และ ไมเคิล เดลูก้า (Michael De Luca) ประธานของ Warner Bros. Entertainment ไม่อนุมัติให้นำ ‘Beetlejuice Beetlejuice’ เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ นอกเสียจากจะลดทุนสร้างลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 ล้านเหรียญ เสียก่อน

ดังนั้น เบอร์ตัน และไมค์ ซิมป์สัน (Mike Simpson) เอเจนต์ของเขา ยอมตัดค่าใช้จ่ายลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเริ่มที่ค่าเหนื่อยของพวกเขา รวมถึงเจรจาให้นักแสดงนำอย่างคีตัน, ไรเดอร์, โอฮารา และน้องใหม่ในแฟรนไชส์นี้อย่าง เจนนา ออร์เตกา (Jenna Ortega) ยอมลดค่าเหนื่อยแลกกับการได้ส่วนแบ่งจากการฉายมากขึ้น

Beetlejuice Beetlejuice

หลังจากได้เจรจากับสตูดิโอ ผนวกกับการลดเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี (Tax Incentive) กอปรกับแอ็บดี้และเดลูก้าได้เพิ่มทุนให้อีกหลายแสนเหรียญสำหรับการเตรียมงานสร้าง ทำให้ ‘Beetlejuice Beetlejuice’ ได้สร้างภายใต้ทุนสร้างที่ลดลงมาอยู่ที่ 99 ล้านเหรียญ

ท้ายที่สุด ‘Beetlejuice Beetlejuice’ สามารถสร้างผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ โดยเปิดตัวสุดสัปดาห์แรกในสหรัฐฯ ด้วยรายได้ที่สูงถึง 110 ล้านเหรียญ และทำรายได้สุดสัปดาห์ที่ 2 ไปอีกกว่า 50 ล้านเหรียญ ทำให้รายได้รวมในสหรัฐฯ (นับถึงวันที่ 15 กันยายน 2024) อยู่ที่ 187.8 ล้านเหรียญ จากการฉายเพียง 11 วัน และทำรายได้รวมทั่วโลกไป 264.3 ล้านเหรียญ

นอกจากนี้ยังได้คะแนนบน Rotten Tomatoes สูงถึง 77% จากนักวิจารณ์ 309 คน และ 81% จากผู้ชมมากกว่า 10,000 คน รวมถึง CinemaScore ได้ให้คะแนนสูงถึงระดับ B+