หากจะพูดถึงหนังเรื่อง ‘The Sixth Sense’ (1999) หนังดราม่าสยองขวัญระดับตำนาน จากฝีมือการกำกับและเขียนบทของ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน (M. Night Shyamalan) ซึ่งสิ่งที่หลายคนยังคงจำกันได้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ นอกจากเรื่องราวอันตื่นเต้นน่ากลัวที่กวาดรายได้ Box Office ไปกว่า 672 ล้านเหรียญ เป็นหนังที่ทำรายได้อันดับ 2 ของปี 1999 และเป็นผลงานที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของชยามาลานแล้ว สิ่งที่ทำเอาคนดูเหวอแตกไม่แพ้กันก็คือจังหวะหักมุมช็อตฟีลคนดู กลายเป็นตำนานของหนังที่ไม่มีใครกล้าสปอยล์ตอนจบ

‘The Sixth Sense’ เป็นเรื่องราวของมัลคอล์ม โครว์ จิตแพทย์เด็กที่ถูกคนร้ายบุกรุกเข้าบ้านยามวิกาลและได้รับบาดเจ็บ จนกระทั่ง 1 ปีต่อมา มัลคอล์มได้พบกับเด็กชาย โคล เชียร์ วัย 9 ขวบ ที่อาศัยอยู่กับแม่เพียง 2 คน โคลเข้ามาหามัลคอล์มเพื่อเข้ารับการรักษาพฤติกรรมชอบเก็บตัว ไม่เข้าสังคม และมีท่าทางวิตกหวาดกลัวผิดปกติ และดูเหมือนว่าจะมีสัมผัสพิเศษถึงอะไรบางอย่าง ก่อนที่มัลคอล์มจะล่วงรู้ถึงความลับของเด็กชายคนนี้ และทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล

ฮาร์ลีย์ โจล ออสเมนต์ (Haley Joel Osment) วัย 36 ปี อดีตนักแสดงเด็กแก้มยุ้ยที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีในหนังฮอลลีวูดยุค 90s จากผลงานการแสดงในหนังดังอาทิ ‘Forrest Gump’ (1994), ‘Pay It Forward’ (2000) และ ‘A.I. Artificial Intelligence’ (2001) และเจ้าของประโยค “I See Dead People.” อันลือลั่น ได้ให้สัมภาษณ์กับ Entertainment Weekly ในวาระที่ปีนี้ครบรอบ 25 ปีหลังจากการเข้าฉายรอบปฐมทัศน์

“ผมเคยถ่ายหนังมาบ้างแล้ว แต่ไม่เคยเจออะไรที่หม่นมืดขนาดนี้ ส่วนใหญ่ที่ผมเคยถ่ายมาก่อนหน้านี้มีแต่หนังตลกในทีวี ซึ่งการทำงานมันสนุกมาก แต่กระบวนการถ่ายทำหนังเรื่องนี้มันเป็นอะไรที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง การสร้างตัวละครนี้และการถ่ายทำหนังที่เกือบทุกฉากล้วนเต็มไปด้วยความหนักหน่วงและเรื่องราวที่เข้มข้น”

“ดังนั้น การเตรียมตัวที่ผมต้องการ จึงอยู่ในระดับที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมโชคดีในหนังเรื่องนี้ก็คือ เราได้มีโอกาสร่วมทีมซ้อมด้วยกัน 2-3 สัปดาห์ในฟิลาเดลเฟียก่อนเริ่มถ่ายทำจริง ผมคิดว่านั่นทำให้สิ่งที่ออกไปอยู่บนจอเป็นอะไรที่แตกต่างออกไปอย่างมาก”

Bruce Willis and Haley Joel Osment The Sixth Sense

“ผมคิดว่าสิ่งหนึ่งที่เขา (ชยามาลาน) กังวลมากที่สุด และเขาก็พูดเรื่องนี้ตั้งแต่การประชุมครั้งแรกของเราตอนที่ไปถึงฟิลาเดลเฟีย คือการหลีกเลี่ยงขนบหนังสยองขวัญที่ใช้ Jump Scare เพื่อหลอกล่อทำให้ตกใจแบบไม่เป็นธรรมชาติอะไรทำนองนั้น ประเภทว่ามีคนเอามือมาแตะไหล่ตอนที่คุณเดินอยู่แล้วก็ ‘โอ้ นั่นเพื่อนเขาเองเหรอเนี่ย’ ไนต์บอกว่า ‘เราจะไม่ทำกับผู้ชมแบบนั้น ทุกช่วงเวลาที่น่ากลัว ต้องเกิดมาจากความสมจริง และต้องมาจากความสัมพันธ์ของผู้คนกับตัวละคร'”

โจล ออสเมนต์ ยังพูดถึงฉากหักมุมฉากนั้นว่า เขาเองรู้เรื่องนี้ก่อนที่จะถ่ายทำหนัง และในยุคนั้นก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนจนต้องใช้กระบวนการเก็บความลับเพื่อกันสปอยล์เหมือนกองถ่ายหนังยุคใหม่ ๆ

“ใช่ครับ และตอนนี้เราพูดกันเยอะมากเกี่ยวกับการที่ผู้คนเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับหลังจากที่หนังออกฉาย แต่มันก็เป็นเรื่องน่าทึ่งเหมือนกันนะที่หลายคนได้อ่านบทหนังแล้ว แต่การหักมุมก็ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายนัก และยังไม่ถูกสปอยล์จากคนที่เคยอ่านไปแล้ว เราเลยไม่จำเป็นต้องถ่ายทำฉากจบปลอม ๆ หรืออะไรทำนองนั้นเพื่อหลอกล่อคนอื่น”

หนังเรื่องนี้สร้างความยอดเยี่ยมจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 6 สาขา รวมทั้งการแสดงของโจล ออสเมนต์ ที่ส่งให้เขาได้เข้าชิงในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาเล่าถึงช่วงเวลาครั้งหนึ่งในชีวิต ที่นักแสดงเด็กตัวน้อยได้มีโอกาสขึ้นไปทาบรัศมีกับนักแสดงเบอร์ใหญ่ของฮอลลีวูด

“ตอนนั้นมี ทอม ครูซ (Tom Cruise) (จาก ‘Magnolia’), มีจูด ลอว์ (Jude Law) (จาก ‘The Talented Mr. Ripley’) มีไมเคิล คลาร์ก ดันแคน (Michael Clarke Duncan) (จาก ‘The Green Mile’) และสุดท้าย เซอร์ ไมเคิล เคน (Sir Michael Caine) ก็เป็นผู้ได้รับรางวัล (จาก ‘The Cider House Rules’) มันเป็นค่ำคืนที่บ้าคลั่งมาก ๆ และผมคิดว่านั่นน่าจะเป็น 1 ในงานประกาศรางวัลที่ยาวที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยมั้ง ยาวประมาณ 4 หรือ 5 ชั่วโมงได้”

“แต่ผมกลับไม่รู้สึกเบื่อหรือกระสับกระส่ายเลย เพราะผมถูกล้อมรอบไปด้วยเรื่องบ้า ๆ ทั้งหลาย และนักแสดงทั้งหมดที่คุณเคยรู้จักมา ผมนั่งอยู่แถวเดียวกับ คลินต์ อีสต์วูด (Clint Eastwood) ด้วยนะครับ เหลือจะเชื่อ หลังจากนั้นผมก็ได้ออกไปร่วมงานเลี้ยงฉลองและเจอกับทุก ๆ คน รู้สึกได้เลยว่าเหมือนทั้งเมืองลอสแอนเจลิสกำลังร่วมฉลองด้วยกันในค่ำคืนนั้น มันเป็นความทรงจำที่น่าจดจำมาก ๆ”

ซึ่งนอกจากเขาจะเล่าเบื้องหลังการถ่ายทำแล้ว เขายังมีโอกาสเล่าถึงความประทับใจของเขา ตอนที่เขาได้มีโอกาสร่วมงานกับ บรูซ วิลลิส (Bruce Willis) อดีตแอ็กชันสตาร์ในดวงใจของเขา ที่ปัจจุบันนี้ได้ตัดสินใจเกษียณงานการแสดงหลังจากพบปัญหาสุขภาพร้ายแรง และเรื่องหนึ่งที่เขายังคงจำได้ก็คือ วีรกรรมน่ารักของวิลลิส ที่ฝากข้อความเสียงทักทายเขาอยู่เสมอ แม้ว่าการถ่ายทำจะเสร็จสิ้นไปนานแล้ว

“หลังจากที่หนังออกฉายหลายปี ผมยังได้ยินข่าวเกี่ยวกับข่าวของเขาบ่อยมาก ๆ เขามักจะทิ้งข้อความเสียงถามเกี่ยวกับสารทุกข์สุกดิบไว้ที่บ้านของผมอยู่เป็นระยะ ๆ บางครั้งเขาก็จะโทรมาแบบทันทีทันใด บางครั้งก็เป็นช่วงก่อนเดินทาง ถ้าจำไม่ผิด เราไปญี่ปุ่นด้วยกัน 2 ครั้งเพื่อไปเดินสายเปิดตัว ‘The Sixth Sense’ ในหลายเมือง เขาก็จะโทรมาก่อนหน้านั้น”

“หรือบางครั้งตอนที่ผมกลับมาจากโรงเรียน ผมก็จะเจอเครื่องตอบรับมีไฟกะพริบ มีข้อความจากเขาที่บอกว่า ‘เฮ้ ฮาร์ลีย์ โจล ฉันแค่จะโทรมาทักทายน่ะนะ’ ผมต้องกลับไปหาม้วนเทปเก่า ๆ ผมจำได้ว่าผมน่าจะยังเก็บรักษาไว้ ผมเองรู้จักกับลูกสาวของเขานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้คุยกับเขาเลยตั้งแต่ตอนทราบข่าวเรื่องสุขภาพของเขาในช่วงไม่กี่ปีมานี้”

Bruce Willis and Haley Joel Osment The Sixth Sense

โจล ออสเมนต์ พูดถึงความประทับใจของเขาที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับนักแสดงในดวงใจของเขาในวัย 10 ขวบ

“มันยอดเยี่ยมมากเลยครับ ผมเองเคยทำงานกับ ทอม แฮงส์ (Tom Hanks) มาก่อนใน ‘Forrest Gump’ รวมถึงนักแสดงชื่อดังคนอื่น ๆ ด้วย แต่ในตอนนั้นผมอายุมากพอที่จะได้มีโอกาสดูหนังของบรูซมาหลายเรื่อง ซึ่งยิ่งทำให้ผมตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก และนี่ก็เป็นสิ่งที่ติดตัวผมไปตลอดอาชีพการงานเลย เมื่อผมได้ทำงานกับคนที่ผมชอบในผลงานที่เคยดูมาก่อน”

“และมันก็สร้างความประทับใจอย่างมาก เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ทำงานกับดาราระดับยักษ์ใหญ ในช่วงที่ผมยังสัมผัสถึงความโด่งดังของเขา และเขาก็ทำทุกอย่างได้ออกมามีเสน่ห์และเท่มาก ๆ เขาเป็นคนในแบบที่คุณอยากให้มาอยู่ในกองถ่ายเพื่อสร้างบรรยากาศให้กับหนังที่เราจะทำ เพราะทุก ๆ อย่างมักจะหมุนรอบนักแสดงอันดับ 1 ในหนังเรื่องนั้น ๆ บทนี้เป็นสิ่งที่เราทุกให้ความใส่ใจและทุ่มเทกันอย่างเต็มที่ และบรูซก็กลายเป็นผู้นำในหนังเรื่องนั้นจริง ๆ ด้วย”

นอกจากนี้ โจล ออสเมนต์ยังเล่าถึงความประทับใจในการรับบทบาทของวิลลิส ที่พลิกจากการแสดงแนวแอ็กชัน สู่การรับบทจิตแพทย์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกภายใน

“ก็ไม่เชิงว่ามีอะไรที่คาดไม่ถึงนะครับ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ผมคุ้นเคยกับเขาจากบทบาท จอห์น แม็กเคลน (ตัวละครของวิลลิสใน ‘Die Hard’) หรือตัวละครแนว ๆ นั้นมากกว่า แต่ตัวละคร (มัลคอล์ม) จะดูสุขุมและดูมีความรู้มากกว่า ซึ่งผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้การแสดงของเขามันเจ๋งมาก”

“คุณสามารถสัมผัสถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายในได้ แต่ตัวละครนี้กลับเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบเคร่งครัด มีความยับยั้งชั่งใจ และดูเย็นชามากกว่า ดังนั้นความแตกต่างของตัวละครที่เยือกเย็น และแววตาที่เปล่งประกายของบรูซที่กำลังสวมบทบาทนั้น จึงเป็นอะไรที่ผมว่าน่าสนใจครับ”