“ไอ้หนุ่ม ป๋าอยากให้เอ็งมาทำหนังให้หน่อย พล็อตเรื่องคร่าว ๆ คือ มีเด็กวัยรุ่นคนนึงซื้อรถคันแรกให้ตัวเอง แต่ไอ้รถนั่นมันดันเป็นเอเลียนน่ะสิ น่าสนใจไหมล่ะ”
“อ้อ น่าสนุกดีนะครับป๋า แต่ช่วงนี้ผมน่าจะยังติดอีกหลายโปรเจกต์ ไว้โอกาสหน้านะครับ”
นับเป็นไม่กี่ครั้งในชีวิต ที่พ่อมดฮอลลีวูดอย่างสตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) โดนลูกศิษย์ที่ตนสอนงานมา ปฏิเสธการเชื้อเชิญกันอย่างไร้เยื่อใย ในวันที่ไม่มีใครคาดเดาอนาคตว่ารูปร่างหน้าตาของหนัง ‘Transformers’ จะออกมาเป็นอย่างไร มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่าอนาคตมันจะกลายเป็นสุดยอดแฟรนไชส์ที่ผู้คนรัก
พ่อมดผู้เป็นแฟนจักรกล
หากพูดถึงแฟรนไชส์ภาพยนตร์ ‘Transformers’ แล้ว อะไรคือสิ่งที่คุณผู้อ่านนึกถึงเป็นอย่างแรกกันนะ รถยนต์สุดเท่, เพลงประกอบอันทรงพลังจาก Linkin Park, เรื่องราวของเหล่าวัยรุ่นที่เข้ามาพัวพันในสงครามจักรกล, ระเบิดแบบจัดหนัก ซึ่งล้วนเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกเนรมิตจากแนวคิดของไมเคิล เบย์ (Michael Bay) ผู้กำกับหนัง ‘Transformers’ ภาค 1-5 ทั้งสิ้น ซึ่งเราคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การมีอยู่ของเบย์นี่แหละ ที่ผลักดันให้จักรวาลหนัง Transformers ไปได้ไกล (แบบออกนอกทะเล) จนเป็นที่รู้จักในทุกวันนี้
ทว่าความจริงแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่ไมเคิล เบย์เท่านั้น เพราะอีกหนึ่งบุคคลสำคัญที่แฟรนไชส์หนัง ‘Transformers’ เป็นหนี้บุญคุณมหาศาลนั้นก็คือพ่อมดฮอลลีวูดอย่างสตีเวน สปีลเบิร์กนี่แหละ เพราะถ้าหากไม่มีเขา ณ วันนี้จักรวาลภาพยนตร์ ‘Transformers’ ก็คงไม่อาจมาไกลก็เป็นได้
ก่อนที่ ‘Transformers’ จะกลายมาเป็นภาพยนตร์แอ็กชันฟอร์มยักษ์ แฟรนไชส์นี้เคยเป็นการ์ตูนสำหรับเด็กมาก่อน โดยการพัฒนาโปรเจกต์นี้เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ เพราะในช่วงต้นยุค 2000 นั้น บริษัทผู้ถือลิขสิทธิ์อย่าง Hasbro มีความคิดที่จะสร้างหนัง ‘G.I. Joe’ ขึ้นมา ทว่าก็ดันเกิดสงครามอิรักซะก่อน นั่นทำให้ Hasbro จึงเบนเข็มตัวเองมาสร้าง ‘Transformers’ ซึ่งเป็นหนังหุ่นยนต์ที่มีเนื้อหาสำหรับเด็กเพื่อคั่นเวลาแทน
Hasbro ได้เรียกใช้งานสตีเวน สปีลเบิร์กในการควบคุมงานสร้าง เพราะเขาเป็นเนิร์ดตัวพ่อ แถมยังเป็นติ่ง ‘Transformers’ ตัวยง ไม่เพียงแค่นั้น สปีลเบิร์กยังเป็นผู้กำกับที่มีจุดเด่นด้านการทำหนังเด็กให้กลายเป็นหนังที่ลึกซึ้ง ซึ่งแก่นแท้ของการก้าวพ้นผ่านวัยนี่แหละ ที่ทำให้แม้แต่ผู้ใหญ่ก็อินกับหนังที่มีตัวละครหลักเป็นเด็กได้ นั่นทำให้ในเวลานั้นไม่มีใครที่เหมาะสมจะสร้าง ‘Transformers’ ให้เป็นหนังได้ดีเท่ากับสตีเวน สปีลเบิร์ก อีกแล้ว ซึ่งเมื่อพ่อมดฮอลลีวูดได้รับคำเชิญ เขาก็ไม่รอช้า รีบบึ่งเข้ามาเสนอไอเดียกับทีมงานของ Hasbro ทันที
“ผมบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้ จะเป็นเรื่องราวของการก้าวพ้นผ่านวัย ที่ทั้งตัวละครฝั่งมนุษย์ และเหล่าจักรกล จะมีเรื่องราวของตนให้คนดูได้หลงรัก” แค่เริ่มเกริ่นมา ผู้บริหาร Hasbro ก็ยิ้มออกแล้ว
“เส้นเรื่องคือเด็กชายที่ซื้อรถคันแรก แต่รถดันกลายเป็นเอเลี่ยน จนไปเผชิญกับเหล่าจักรกลต่างดาวมากมาย” ผู้บริหาร Hasbro เห็นดี เห็นงาม พร้อมกับตั้งความหวังว่ามันจะเป็นกลิ่นอายของสปีลเบิร์ก ที่ใครก็หลงรักได้ไม่ยาก
“เรื่องราวนี้จะเกี่ยวข้องกับการรุกรานของหุ่นยนต์ยักษ์ต่างดาว ที่กระตุ้นให้กองทัพสหรัฐฯ ตื่นตัว” ผู้บริหาร Hasbro เริ่มลุกขึ้นปรบมือ เพราะสิ่งนี้ทำให้กลุ่มคนดูจะขยายสเกลออกไปในวงกว้าง
“และใช่ครับ มันจะเป็นหนังที่มีหัวจิตหัวใจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งวางโครงภาคต่อไปถึงสงครามสุดตระการตา” ผู้บริหาร Hasbro เฮลั่น ซึ่งนั่นหมายความว่านี่จะเป็นก้าวแรกสู่มหากาพย์อันยิ่งใหญ่
“แต่โทษที พอดีผมติดกำกับ ‘Indiana Jones’ ภาค 4 น่ะ……“
สิ้นประโยคนั้น ผู้บริหาร Hasbro แทบจะช็อกกันไปตาม ๆ กัน เพราะหากหนัง ‘Transformers’ ฉบับคนแสดงไม่ได้สปีลเบิร์กมากำกับ พวกเขาก็ไม่แน่ใจว่า มันจะเข้าถึงหัวใจของคนดูได้อย่างไร
เมื่อรู้ว่าสตีเวน สปีลเบิร์ก จะไม่ได้กำกับ ผู้บริหารก็อยู่ในสภาวะอ้ำอึ้งกันอยู่สักพัก และสปีลเบิร์กจึงได้เล่าถึงไม้เด็ดที่ตนซุกซ่อนไว้ นั่นคือการนำหนัง ‘Transformers’ ไปฝากในมือคนที่เขาเชื่อใจ โดยชายคนนี้เพิ่งกำกับหนังคู่หูตำรวจอย่าง ‘Bad Boy’ จนประสบความสำเร็จ และเขาไม่ใช่ใครอื่น เพราะเขาคือไมเคิล เบย์ ลูกศิษย์ก้นกุฏิ ผู้เป็นทีมงานที่ช่วยสปีลเบิร์กปลุกปั้น ‘Indiana Jones’ มาด้วยกัน
ตอนดูสตอรี่บอร์ดครั้งแรก ผมเคยคิดว่า 'Indiana Jones' ของป๋ามันจะออกมาห่วย แต่พอได้เห็นหนังจริงในโรง มันได้เปลี่ยนชีวิตผมไป ทำให้ผมอยากเป็นผู้กำกับอย่างป๋า
ตู้ดดดดดดดดด
สิ้นเสียงวางสาย ศิษย์ก้นกุฏิที่สปีลเบิร์กหมายมั่นจะฝากความหวังไว้นั้น กลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ซึ่งไมเคิล เบย์ได้ออกมากล่าวภายหลังว่า ที่ปฏิเสธไป เพราะเขารู้สึกว่าพล็อตหนังเรื่องนี้ มันช่างไร้สาระสิ้นดี และเขาก็ไม่คิดว่าจะกำกับมันได้ ทว่าสปีลเบิร์กก็มองเห็นว่า เบย์มีศักยภาพที่จะทำให้ ‘Transformers’ มีชีวิตขึ้นมาบนจอเงิน เขาจึงได้โทรไปรบเร้าศิษย์รักอีกครั้ง
ไอ้หนู เอ็งจะไม่ทำหนังเรื่องนี้ก็ได้ แต่ขอให้มาที่ Hasbro ก่อน หลังจากนั้นค่อยว่ากัน
สปีลเบิร์กเปรียบไมเคิล เบย์ว่าเขาเป็นนักสร้างภาพยนตร์ผู้ทรงพลัง ที่พร้อมท้าทายกับทุกสิ่ง เพราะเบย์มีความสามารถที่จะทำหนังที่ไม่รู้จะมีใครดูไหม ให้กลายเป็นหนังป็อปคอร์นสุดสนุกได้ และสปีลเบิร์กมองออกตั้งแต่แรกเห็นว่าไมเคิล เบย์คือคนที่เหมาะสมที่สุด (แม้ว่าเจ้าตัวจะมองไม่เห็นก็ตาม)
นักสร้างภาพผู้ทรงพลัง
ในวันที่สตีเวน สปีลเบิร์ก เรียกไมเคิล เบย์เข้ามาที่สำนักงานของ Hasbro นั้น เบย์เองก็ไม่เข้าใจว่าตนมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ซึ่งอันที่จริงเขาเพียงแค่มาเพราะคำรบเร้าของสปีลเบิร์กก็เท่านั้น ทว่าในระหว่างที่นั่งฟังการนำเสนอประวัติศาสตร์ของ Transformers มันก็ทำให้เบย์เปลี่ยนความคิดไป เพราะเรื่องราวการเมือง ขั้วอำนาจ สงคราม และจักรกล ได้จุดประกายให้เบย์มองเห็นว่า เขาสามารถทำหนังเรื่องนี้ให้เป็นจริงได้
ผมจะกำกับ ‘Transformers’ เอง
หลังจากบรรลุข้อตกลง สปีลเบิร์กจึงจัดแจงส่งบทร่างแรกที่เขาสร้างขึ้นมาไปให้ไมเคิล เบย์ ซึ่งเป็นบทหนังที่เล่าเรื่องราวของเด็กหนุ่มซึ่งร่วมมือกับเอเลียนเพื่อปกป้องโลก ผ่านการต่อสู้เล็ก ๆ ที่มีมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง หนังไม่ได้อุดมด้วยเอฟเฟกต์มากมาย เพราะอยากเน้นหนักที่มนุษย์ ซึ่งเพียงแค่ไมเคิล เบย์มาเพิ่มความอลังการจากบทที่เตรียมไว้เท่านี้ ‘Transformers’ ก็พร้อมกลายเป็นหนังอบอุ่น ที่ผสานฉากแอ็กชันสุดตระการตาแล้ว
แต่สิ่งที่ไมเคิล เบย์ทำกลับเป็นการ ‘ช่างแม่ง’ ซะ
ไมเคิล เบย์ได้ทำการโล๊ะไอเดียส่วนหนึ่งของสปีลเบิร์กทิ้งไป ลบมวลความอบอุ่นจากหนัง และอัดฉีดฉากแอ็กชัน พร้อมด้วยเพิ่มฉากสงครามให้มากขึ้น นั่นทำให้ ‘Transformers’ ภาคแรกจึงกลายเป็นหนังที่มีลูกผสมของการก้าวพ้นผ่านวัยในแบบสปีลเบิร์ก และลูกบ้าสงครามของเบย์
การก้าวพ้นผ่านวัยที่กลายเป็นมหาสงคราม
หนัง ‘Transformers’ ภาคแรกประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม แม้จะไม่ถูกใจนักวิจารณ์ แต่มันก็ได้ปูทางไปสู่ภาคต่ออันยิ่งใหญ่ และนั่นทำให้ไมเคิล เบย์ได้กลายเป็นหัวเรือใหญ่ของแฟรนไชส์นี้ ที่สามารถกำหนดวิสัยทัศน์ของ ‘Transformers’ นานนับสิบปี
เราจะเห็นเลยว่าหลังจากภาคที่สอง ‘Transformers: Revenge of the Fallen’ เป็นต้นไป เนื้อหาการก้าวพ้นผ่านวัย และความอบอุ่นหัวใจแทบจะหายไปจากหนังตระกูลนี้ เพราะมันถูกแทนที่ด้วยตัวละครมนุษย์ที่น่ารำคาญ และฉากแอ็กชันระเบิดภูเขาเผากระท่อมแทน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมช่วงหลัง Transformers จึงเริ่มเสื่อมความนิยม เพราะคนเอียนกับความไร้หัวใจที่ไมเคิล เบย์สร้างขึ้นมาแล้ว
พูดกันตรง ๆ ส่วนหนึ่งที่หนัง ‘Transformers’ ภาคแรกประสบความสำเร็จ นั้นก็มาจากโครงเรื่องที่มีหัวจิตหัวใจของสปีลเบิร์ก และการที่ไม่มีชายผู้นี้คอยกุมบังเหียนในภาคต่อมา ทำให้แฟรนไชส์ หนัง ‘Transformers’ กลายเป็นเพียงหนังหุ่นยนต์ที่อุดมไปด้วยซีจีแทน ซึ่งเรื่องตลกร้ายคือหนัง ‘Transformers’ ที่ทำได้ตรงตามวิสัยทัศน์ของสปีลเบิร์กที่สุด กลับเป็นหนังภาคแยกอย่าง ‘Bumblebee’ แทนซะงั้น
อย่างที่ทราบกันดี แฟรนไชส์หนัง ‘Transformers’ ในปัจจุบัน ได้แตกแขนงออกเป็นจักรวาลมากมาย ทั้งจักรวาลแรกเริ่มของไมเคิล เบย์, จักรวาลรีบูตที่ควบรวมกับ ‘G.I. Joe’ รวมไปถึงจักรวาลแอนิเมชันที่เริ่มต้นด้วย ‘Transformers ONE’ ซึ่งความสำเร็จเหล่านี้ ส่วนหนึ่งก็ต้องยกความดีความชอบให้กับวิสัยทัศน์เริ่มต้นของสตีเวน สปีลเบิร์ก เพราะหากไม่มีพ่อมดฮอลลีวูดที่เนรมิตวิธีการนำเหล่าจักรกลมาขึ้นจอ และเริ่มร่างพลอตที่วางรากฐานจักรวาล รวมไปถึงมองขาดว่าไมเคิล เบย์จะสามารถต่อยอดจินตนาการที่เขาคิดไว้ให้เป็นจริงนั้น Transformers อาจกลายเป็นเพียงแฟรนไชส์หุ่นยนต์นอกกระแส ที่ดังเฉพาะกลุ่มก็ได้
แม้ว่าในวันนี้สตีเวน สปีลเบิร์กจะแทบไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับแฟรนไชส์จักรกลแล้วก็ตาม แต่เราก็ไม่อาจลืมว่า เขาคือหนึ่งในบุคคลสำคัญ ที่ร่วมวางรากฐาน รวมถึงผลักดันให้หนัง ‘Transformers’ เกิดขึ้น ซึ่งสปีลเบิร์กได้แสดงให้เห็นว่าการ์ตูนเด็ก ก็กลายเป็นมหากาพย์สงคราม ที่เข้าถึงคนทุกวัยได้ และมันจะผูกพันกับหัวใจคนดูไปตราบนานเท่านาน