เรียกได้ว่าเป็นหนังไลฟ์แอ็กชันที่ต้องเผชิญวิบากกรรมหนักหนาสาหัสพอดู สำหรับ ‘Snow White’ หนังไลฟ์แอ็กชันเรื่องล่าสุดของ Disney กำหนดฉายในวันที่ 21 มีนาคม 2025 นี้ ซึ่งโดนอุปสรรครุมล้อมตั้งแต่เริ่มเปิดกล้องจนถึงปล่อยทีเซอร์แรกออกมา ไหนจะมี ‘The Little Mermaid’ (2023) หนังไลฟ์แอ็กชันเรื่องก่อนหน้าของสตูดิโอที่ล้มเหลวแบบไม่เป็นท่าอีก
ไหนจะมีเรื่องของตัวนักแสดงนำ เพราะนอกจากจะได้ กัล กาด็อต (Gal Gadot) มารับบทเป็นราชินีใจร้าย (Evil Queen) ส่วนคนที่มารับบทสโนว์ไวต์ก็คือ ราเชล เซเกลอร์ (Rachel Zegler) นักแสดงสาวเชื้อสายลาตินอเมริกัน ที่หลายคนมองว่าดูขัดกับภาพลักษณ์ของตัวละครเจ้าหญิงดิสนีย์แบบผิดฝาผิดตัว รวมทั้งประเด็นที่เธอเคยสัมภาษณ์ในเชิงวิพากษ์วิจารณ์หนังแอนิเมชัน ‘Snow White’ ต้นฉบับที่ฉายในปี 1937 จนก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอีกนับไม่ถ้วน
ล่าสุด เซเกลอร์ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Variety ฉบับล่าสุดที่เธอขึ้นปก ซึ่งเธอก็ได้มีโอกาสพูดถึงความแตกต่างทางเชื้อชาติของตัวละครสโนว์ไวต์ ที่หากอ้างอิงตามนิทานพื้นบ้านของเยอรมัน ฉบับนิทาน ‘Grimms’ Fairy Tales’ พี่น้องตระกูลกริมม์ (Brothers Grimm) ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1812 หรือแม้แต่หนังแอนิเมชันฉบับปี 1937 ของ Disney ที่กล่าวถึงรูปลักษณ์ของสโนว์ไวต์เอาไว้ว่า “มีผมดำดุจไม้มะเกลือ ริมฝีปากแดงดังกุหลาบ และมีผิวขาวผ่องราวกับหิมะ” จนทำให้การคัดเลือกนักแสดงเชื้อสายโคลัมเบียน-โปแลนด์ของเธอมารับบทนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
แม้ว่า มาร์ก เวบบ์ (Marc Webb) ผู้กำกับจะเป็นคนที่ตั้งใจเลือกให้เธอมารับบทนี้ตั้งแต่ตอนที่เธอเริ่มอ่านบท เพราะคนเขียนบทที่ประทับใจเสียงร้องอันไพเราะของเธอจนถึงขนาดต้องหลั่งน้ำตา เซเกลอร์จึงพยายามอธิบายว่า เธอไม่ได้สนใจกระแสวิจารณ์ของแฟน ๆ Disney ที่เป็นผู้ใหญ่ที่ต่างก็ต่อต้านการรับบทสโนว์ไวต์ของเธอ เพราะไม่สามารถจินตนาการถึงเจ้าหญิงดิสนีย์ที่เป็นสาวละตินได้เลย
เซเกลอร์อธิบายถึงตัวละครสโนว์ไวต์ด้วยว่า ในฉบับหนังไลฟ์แอ็กชันที่เธอรับบทนี้ จะเป็นการรื้อสร้างที่มาของชื่อ ‘Snow White’ ใหม่ โดยไม่ได้เป็นการสื่อถึงผิวที่ขาวราวกับหิมะ แต่เป็นการสื่อไปถึงความหมายที่ลึกกว่านั้น
“มันต้องย้อนกลับไปอีกเวอร์ชันของ ‘Snow White’ ที่ถูกเล่าผ่านประวัติศาสตร์ค่ะ ตอนนั้นเธอรอดชีวิตจากพายุหิมะที่เธอได้เจอตอนเธอยังเป็นทารกตัวน้อย และกษัตริย์กับราชินีก็ตัดสินใจตั้งชื่อเธอว่าสโนว์ไวต์ เพื่อให้เธอระลึกถึงความเข้มแข็งของตัวเธอเอง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเด็นหลักของหนังสำหรับหญิงสาว หรือคนหนุ่มสาวทุกคนก็คือการสร้างความตระหนักว่า จริง ๆ แล้วเรามีความเข้มแข็งมากขนาดไหน”
นอกจากกระแสการวิพากษ์วิจารณ์การคัดเลือกเซเกลอร์ให้มารับบทสโนว์ไวต์ ตัวหนังยังต้องเผชิญกับข้อถกเถียงมากมายนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ภาพลักษณ์ของคนแคระทั้ง 7 ที่หลุดออกมาจากกองถ่าย ซึ่งทำให้โดนวิพากษ์วิจารณ์ถึงการพยายามใส่ความ Woke เพื่อเข้ามาทำลายภาพจำของคนแคระที่แฟน ๆ คุ้นเคยมาอย่างยาวนาน
และที่สร้างความไม่พอใจมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นตอนที่เซเกลอร์ให้สัมภาษณ์ในเชิงวิพากษ์วิจารณ์หนังแอนิเมชันต้นฉบับว่าเป็นเรื่องราวความรักของผู้หญิงกับผู้ชายที่เป็นสตอล์กเกอร์ (Stalker) และในเวอร์ชันหนังจะนำเสนอความทันสมัยให้กับเจ้าหญิงดิสนีย์ ด้วยการไม่มัวฝันถึงรักแท้ แต่จะฝันถึงการเป็นผู้นำโดยที่ไม่ต้องร้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าชายอีกต่อไป เรื่องนี้ถึงขั้นทำให้แฟนคลับหลายคนออกมาโจมตีเธอว่าเป็นการดูถูกดูหมิ่นผลงานต้นฉบับ และดูหมิ่นตัวละครที่เธอสวมบทบาทอย่างรุนแรง
ผลที่ตามมาก็คือ จากแต่เดิมที่มีกำหนดการถ่ายทำตั้งแต่ปี 2020 ก็ต้องเลื่อนออกไปเพราะโรคระบาดแล้ว การถ่ายทำเริ่มต้นอีกครั้งในปี 2022 แต่ก็เกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ฉากกองถ่ายอีก แต่พอเริ่มถ่ายทำและฉายรอบ Screen test กระแสตอบรับกลับไม่ดีอย่างที่คาด จนทำให้มีการถ่ายซ่อมในปี 2023
แต่ก็ต้องเผชิญกับการประท้วงในฮอลลีวูด ทำให้ต้องเลื่อนการถ่ายซ่อมมาจนถึงปี 2024 แทน จนกระทั่งเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาจึงมีการปล่อยคลิปทีเซอร์ตัวแรกออกมา ซึ่งแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนคาแรกเตอร์คนแคระทั้ง 7 ไปใช้ตัวละคร CGI ทั้งหมด แต่ก็มีคนมากด Dislike ใน YouTube จนเกิน 1 ล้านครั้งเช่นเดียวกับคลิปตัวอย่างหนังของ Disney หลาย ๆ เรื่องก่อนหน้า
เซเกลอร์ยังได้เปิดใจถึงความรู้สึก หลังจากที่การแสดงความคิดของเธอถูกโจมตีอย่างหนัก แม้เธอเองจะเชื่อว่ามีภูมิต้านทานเป็นอย่างดี แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคำวิจารณ์และความเกลียดชังเหล่านั้นจะไม่ทำให้เธอรู้สึกเศร้า
“พูดตามตรง มันทำให้ฉันรู้สึกเศร้านะ ที่ถูกตีความแบบนั้น เพราะฉันเเชื่อว่าผู้หญิงสามารถทำอะไรก็ได้ และฉันก็เชื่อด้วยว่าพวกเธอสามารถทำทุกอย่างได้เช่นกัน ฉันไม่อยากจะบังคับใครแล้วบอกว่า ‘ถ้าคุณต้องการความรัก คุณก็ทำงานไม่ได้’ หรือ ‘ถ้าคุณอยากทำงาน คุณก็มีครอบครัวไม่ได้'”
“มันไม่ได้เป็นเรื่องจริงเลย มันทำให้ฉันรู้สึกแย่มาก เวลาที่คนไม่เก็ตมุกตลก หรือการที่คำพูดถูกนำออกไปจากบริบท เรื่องราวความรักยังคงเป็นแก่นสำคัญ หลายคนเอาไปพูดว่าเราไม่แตะเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว แต่ความจริงเรายังคงพูดถึงเรื่องนี้เสมอ เพียงแต่ว่าเราไม่ได้พูดถึงในตอนนั้นเท่านั้นเอง”
“ฉันเห็นผู้หญิงถูกทำลายมาตลอดชีวิตและอาชีพของฉัน เราจะเห็นมันได้อีกในช่วงการเลือกตั้งที่จะมาถึง ฉันกลัวว่าเราจะได้เห็นสิ่งนี้ไปอีกนาน บางครั้งมันทำให้รู้สึกเหมือนว่าเรากำลังย้อนเวลากลับไป”
เซเกลอร์ยังเปิดเผยว่า แต่เดิมเธอคิดจะเลิกใช้โซเชียลมีเดียเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคำวิจารณ์ แต่เธอกลับเปลี่ยนใจ “ฉันไม่ชอบทำให้พวกเขารู้สึกพึงพอใจที่ทำให้ฉันเจ็บได้สำเร็จ การที่คุณพักจากโซเชียลมีเดียจะยิ่งทำให้พวกเขามีพลังมากยิ่งขึ้น”