‘Maze Runner: The Death Cure’ (2018) หนังปิดไตรภาควงกตมฤตยู ‘The Maze Runner’ ที่ว่าด้วยเรื่องของการผจญภัยของโธมัสและผองเพื่อนที่เอาตัวรอดจากไวรัสแฟลร์ที่คร่าชีวิตคนไปเกือบทั้งโลก ถือเป็นหนังปิดไตรภาคที่จบแบบไม่ค่อยจะสวยงามนัก เพราะทำรายได้ทั่วโลกน้อยที่สุดของแฟรนไชส์ที่ 288 ล้านเหรียญ แม้จะเป็นภาคที่ใช้ทุนสร้างอลังการที่สุดถึง 62 ล้านเหรียญ แถมยังทำคะแนนรีวิวน้อยที่สุดของไตรภาคด้วย
อีกสิ่งที่หลายคนยังจำได้ก็คือ อุปสรรคครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในระหว่างถ่ายทำ เมื่อนักแสดงนำเจ้าของบทโธมัสอย่าง ดีแลน โอไบรอัน (Dylan O’Brien) ประสบอุบัติเหตุระหว่างถ่ายทำในปี 2016 จนถึงขั้นเฉียดตายและใช้เวลาพักฟื้นอยู่นานถึง 6 เดือน โอไบรอันได้ให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับ นิตยสาร Men’s Health ซึ่งเขาได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล โดยเฉพาะความรู้สึกไม่มีใครใส่ใจต่อความกังวลเกี่ยวกับฉากสตันต์ของเขาในกองถ่าย เพียงเพราะเขาเป็นนักแสดงวัยรุ่นที่ถูกผู้ใหญ่สั่งไม่ให้ทำตัวมีปัญหา
“มันเป็นเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผมไปเลยครับ ผมมองทุกอย่างแตกต่างออกไป ผมคงพูดได้แหละว่าผมมีวิธีการที่จะมีชีวิตอยู่ในกองถ่ายด้วยตัวเองได้มากขึ้นด้วย มันเป็นเรื่องปกติครับ ที่ในวงการนี้มักจะมีการควบคุมนักแสดงที่เป็นวัยรุ่น และวิธีที่พวกเขาทำก็คือการคอยพูดอยู่ตลอดว่า ‘อย่ามัวแต่ทำตัวดื้อรั้น อย่าทำตัวมีปัญหา’ หรือไม่ก็คอยถามว่า ‘นายกำลังจะบ่นอะไร หรือกำลังจะทำตัวเรื่องมากอยู่หรือเปล่าเนี่ย ?’ ข้อความเหล่านี้แหละครับที่มักจะถูกใช้เพื่อควบคุมนักแสดงวัยรุ่นไม่ให้มีปัญหา”
หลังจากแจ้งเกิดจากการรับบทในซีรีส์ดราม่าเหนือธรรมชาติ ‘Teen Wolf’ (2011–2017) ของ MTV และเป็นเจ้าของเสียงพากย์หุ่นยักษ์บัมเบิลบี ใน ‘Bumblebee’ (2018) โอไบรอันได้โอกาสรับบทนำครั้งแรกในไตรภาค ‘The Maze Runner’ ตั้งแต่ภาคแรกที่ฉายในปี 2014 ภาค ‘Maze Runner: The Scorch Trials’ (2015) และในภาคสุดท้าย ‘The Death Cure’
18 มีนาคม ปี 2016 ไม่กี่วันหลังเปิดกล้องที่เมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ในระหว่างถ่ายทำฉากสตันต์บนรถจักรยานยนต์ที่กำลังเคลื่อนที่ จนทำให้ตัวของเขาเสียหลักเข้าพุ่งชนกับพาหนะอีกคันหนึ่งอย่างรุนแรง รายงานระบุว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้กระดูกใบหน้าด้านขวาของเขาแตกจนเกือบหมด ทำให้ต้องเข้ารับการศัลยกรรมใบหน้าใหม่ และมีเหล็ก 4 แผ่นดามกระดูกของเขาไปตลอดชีวิต นอกจากนี้ยังทำให้เขาได้รับบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรงอีกด้วย
โอไบรอันต้องเข้ารับการรักษาและพักฟื้นอยู่นานถึง 6 เดือน จนทำให้ปลายเดือนเมษายน สตูดิโอ 20th Century Fox ได้สั่งเลื่อนการถ่ายทำออกไปอย่างไม่มีกำหนดจนกว่าเขาจะหายดี รวมทั้งตัวหนังที่ต้องเลื่อนกำหนดฉายออกไปด้วย ทำให้เขาหายหน้าหายตาจากสาธารณชน จนทำให้มีข่าวลือว่าเขาอาจไม่กลับมาถ่ายทำต่ออีก หรือไม่ก็วางมือจากการเป็นนักแสดงไปเลย ซึ่งเขาเองก็ยอมรับกับ Vulture ว่า ตัวเขาเองก็เคยคิดจะอำลาฮอลลีวูดจริง ๆ
“มันเหมือนกับว่าผมอยู่ในความมืดมนอยู่ช่วงหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย มีช่วงเวลาที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะได้กลับมาทำงานอีกครั้งหรือเปล่า…ความคิดเหล่านั้นมันทำให้ผมกลัว…ในมุมหนึ่งผมยังจำได้ว่าเวลา 6 เดือนมันผ่านไปเร็วมาก และในอีกมุม 6 เดือนมันนานอย่างกับชีวิตผมผ่านไป 5 ปีเลย”
หลังจากที่เขาพักฟื้นแล้ว ในที่สุดเขาก็เริ่มกลับมาทำงานในฐานะนักแสดง ในเดือนธันวาคม เขาค่อย ๆ เริ่มกลับเข้ามาทำงานการแสดงอีกครั้งด้วยการไปถ่ายทำหนังแอ็กชันทริลเลอร์ ‘American Assassin’ (2017) ก่อนที่เขาจะได้กลับมาถ่ายทำ ‘The Death Cure’ อีกครั้งหลังจากที่ต้องพักกองไปนานกว่า 1 ปี
โอไบรอันได้เปิดใจครั้งแรกหลังจากกลับมาถ่ายทำได้อีกครั้งกับพอดแคสต์ ‘The Big Ticket’ โดย Variety ว่า ด้วยความที่เขายังเยาว์วัย การคิดถึงเรื่องของการตรวจสอบความปลอดภัยในการถ่ายทำจึงเป็นเรื่องที่เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในกองถ่าย และกล้าที่จะสอบถามและทักท้วงกับทีมงาน เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นซ้ำรอย
“ตอนที่คุณยังเด็ก ๆ เหมือนตอนที่ผมอายุน้อยกว่านี้ ประมาณอายุ 24 ตอนที่ผมเกิดอุบัติเหตุ ทุกคนในกองถ่ายคือผู้เชี่ยวชาญทั้งนั้น ส่วนผมก็แค่คิดว่าผมทำได้ ผมพร้อมจะทำทุกอย่าง แต่เมื่อไหร่ที่ผมต้องสวมอุปกรณ์ ผมจะคอยตรวจสอบอุปกรณ์นั้น ๆ ทุกชิ้นส่วนแบบจุกจิกเลยล่ะ แม้แต่ทุกวันนี้ ถ้าผมอยู่ในกองถ่ายและต้องแสดงฉากสตันต์ ถ้าผมต้องใส่อุปกรณ์ถ่ายฉากแอ็กชัน มันจะทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเลยครับ มันเป็นเพราะความกลัวที่อยู่ข้างในตัวผม ซึ่งผมคิดว่ามันคงไม่ได้เป็นแบบนี้ไปตลอดหรอก”
โอไบรอันที่เริ่มกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และมีผลงานการแสดงในหนังและซีรีส์มากมายจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งการแสดงในมิวสิกวิดีโอหนังสั้น ‘All Too Well: The Short Film’ ของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) เผยในบทสัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า แม้ในวันนั้นเขาจะถูกละเลยจากทีมงานจนทำให้เกิดอุบัติเหตุ แต่เหตุการณ์นั้นก็ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะให้ความสำคัญกับการปกป้องตัวเอง
“ผมได้เรียนรู้หลังจากเกิดอุบัติเหตุว่า การดูแลตัวเอง กับการพยายามปกป้องตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องเดียวกัน อย่าปล่อยให้พวกเขามาหลอกให้คุณคิดเอาเองได้ว่า การพยายามปกป้องตัวเองนั่นคือความดื้อรั้น เพราะพอผมเองมองย้อนกลับไปในวันนั้น ผมรู้ตัวเองดีว่า ผมเป็นเด็กอายุ 24 ปีที่ก็แค่ต้องการแสดงความกังวลเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง แต่สิ่งเหล่านั้นกลับไม่เคยมีใครที่ให้เกียรติหรือแม้แต่รับฟังเลย แล้วสิ่งนั้นมันก็เกิดขึ้น และเท่าที่ผมเห็นคือ ทุกคนก็พยายามจะปัดความรับผิดชอบในเรื่องนี้กันหมด ผมแค่อยากจะบอกว่ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ”
“สิ่งนี้สอนผมว่า สุดท้ายแล้ว ในสถานการณ์แบบนี้ คุณต้องเลือกที่จะปกป้องตัวเอง เพราะมันคือสิ่งที่คุณจะพึ่งพาได้มากที่สุด ตัวผมเองเพิ่งอายุ 33 ปี ผมทำงานวงการนี้มา 15 ปีแล้ว ผมรู้จักตัวเองดี ผมรู้ว่าผมจะแสดงยังไงในกองถ่าย ผมปฏิบัติตัวกับผู้คนยังไง และปฏิบัติต่อสถานที่ที่ทำงานยังไง และผมรู้ตัวเองว่าผมไม่ได้เป็นคนเรื่องมาก ผมรู้ว่าผมไม่ใช่คนนิสัยแย่ ผมรู้ว่าวันนั้นผมพยายามปกป้องตัวเอง และผมก็ไม่เคยลืมสิ่งนี้เลย นั่นคือสิ่งที่ผมยึดถือมาโดยตลอด”