หากพูดถึง ‘Speed’ (1994) คนที่เกิดทันยุค 90s คงรู้กิตติศัพท์ของหนังแอ็กชันทริลเลอร์เรื่องนี้ดี ทั้งบรรดาฉากแอ็กชันบนยานพาหนะ รวมทั้งฉากซิ่งรถบัสข้ามทางขาดที่กลายเป็นภาพจำ เป็นหนังที่ส่งให้ คีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves) กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่หนุ่ม ๆ อยากตัดผมตาม และยังแจ้งเกิดนักแสดงสาว แซนดรา บุลล็อก (Sandra Bullock) ให้โด่งดังมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นคู่ขวัญฮอลลีวูด และยังทำรายได้ทั่วโลกไปสูงมากถึง 350 ล้านเหรียญ และคว้ารางวัลออสการ์ด้านเทคนิค 2 รางวัล
ก่อนจะสานต่อด้วย ‘Speed 2: Cruise Control’ (1997) ที่แม้จะอัดทุนสร้างจัดเต็มถึง 160 ล้านเหรียญ แต่การไม่มีรีฟส์กลับมาแสดงด้วย มีแค่บุลล็อกที่กลับมาจับคู่กับ เจสัน แพทริก (Jason Patric) ทำให้ชะตากรรมหนังเละยิ่งกว่ารถบัสที่พุ่งชนเครื่องบิน จนทำให้ปิดจบรายได้ไปเพียง 164 ล้านเหรียญ แต่ที่เจ็บหนักกว่าคือการติดอยู่ในทำเนียบหนังแย่ตลอดกาลที่ทำคะแนนบนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ไปเพียง 4%
ในวาระครบรอบ 30 ปีการเข้าฉายของ ‘Speed’ ภาคแรก เทศกาลภาพยนตร์ Beyond Fest ได้มีโอกาสนำหนังเรื่องนี้กลับมาฉายอีกครั้งในรอบพิเศษที่ขายบัตรได้หมดเกลี้ยง แถมด้วยการสนทนาสุดพิเศษความยาว 50 นาทีของรีฟส์, บุลล็อก และผู้กำกับ ยาน เดอ บอนต์ (Jan de Bont) ที่ได้มีโอกาสกลับมาพบกันอีกครั้งในรอบ 30 ปี เพื่อตอบคำถามและบอกเล่าถึงเบื้องหลังของหนังเรื่องนี้ รวมถึงโอกาสในการสานต่อเรื่องราวให้กลายเป็นไตรภาคในอนาคต
เรื่องหนึ่งที่ทั้ง 3 คนเล่าก็คือ ในฉากไฮไลต์สำคัญของหนังเรื่องนี้ นั่นก็คือฉากที่ แจ็ก เทรเวน เจ้าหน้าที่หน่วย SWAT ที่ต้องการจะทำลายแผนการวางระเบิดเรียกค่าไถ่ของอดีตตำรวจ ฮาวเวิร์ด เพย์น โดยที่เขาได้วางอีกแผนเอาไว้ นั่นก็คือแผนการระเบิดรถบัสที่ถูกวางระเบิดเอาไว้ และมันจะทำงานก็ต่อเมื่อความเร็วลดลงมาต่ำกว่า 50 ไมล์ต่อชั่วโมง คนบนรถบัสรวมถึงแจ็กจึงต้องติดอยู่บนรถบัสที่วิ่งไปแบบไม่มีหยุดโดยมี แอนนี พอร์เตอร์เป็นคนขับแทนพนักงานขับรถที่ถูกยิง ก่อนที่ทั้งคู่จะหาวิธีลงจากรถบัสและปล่อยให้รถพุ่งชนเข้าไปในสนามบิน และชนกับเครื่องบินจนระเบิด
ถ้าใครที่พอจะเคยอ่านเบื้องหลังก็จะรู้ว่า นี่คือหนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ที่แทบจะไม่พึ่งพาการใช้ CGI เลย มีแต่การใช้ Practical Effect ล้วน ๆ ตั้งแต่การใช้รถบัส GM New Look ในการถ่ายทำถึง 11 คัน กล้องที่ถูกทำลายเป็นจำนวนมากในระหว่างการถ่ายทำ แถมบุลล็อกที่แม้ว่าจะไม่ได้ขับรถบัสจริง ๆ แต่ก็ทำให้เธอได้รับใบอนุญาตขับรถบัสจากเมืองซานตาโมนิกา รัฐแคลิฟอร์เนียมาจริง ๆ
“ส่วนที่สนุกที่สุดคือฉันอยู่ที่หลังพวงมาลัยรถบัสก็จริง แต่ข้างหลังมีคนขับอยู่จริง ๆ ที่บนหลังคาค่ะ และฉันก็ถูกบังคับให้ชนกับอะไรก็ตามที่ยานคิดว่าฉันควรจะชน แต่ฉันไม่เคยขับรถจริง ๆ มันไม่ใช่ยานพาหนะที่ควบคุมได้ง่าย ๆ เลย แต่ฉันได้ใบขับขี่รถบัสของซานตาโมนิกามาด้วยจริง ๆ นะ !”
รีฟส์ นักแสดงที่ขึ้นชื่อการลงไปเล่นฉากสตันต์ด้วยตัวเอง เล่าถึงแกรี ไฮมส์ (Gary Hymes) หัวหน้าทีมสตันต์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “ผมมองว่า ถ้าผมเข้าไปอยู่ในนั้นได้ผมก็จะเข้าไปอยู่ในนั้นครับ เพราะการมีตัวละครอยู่ตรงนั้น มันถือเป็นการเชื่อมโยงในการเล่าเรื่อง คุณไม่จำเป็นต้องตัดฉากออกไปด้วยวิธีอื่น ๆ และแกรีก็เป็นคนที่บอกกับผมอย่างเต็มที่ว่า ลองทำดูเถอะ แต่ว่าต้องปลอดภัยไว้ก่อนนะ และผมก็ซาบซึ้งใจกับสิ่งนั้นมากจริง ๆ”
แต่อย่างไรก็ตาม รีฟส์ได้ถามย้อนความทรงจำกับบุลล็อกว่า แม้จะเตรียมตัวขนาดไหน ในวันนั้นก็ยังมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจนได้ เพราะการที่นักแสดงได้รับข้อมูลตารางการถ่ายทำที่ไม่ครบถ้วน
“คุณจำวันนั้นบนรถบัสได้ไหม ? ตอนที่พวกเราขับรถบัสชนรถทุกคันบนถนนน่ะ ผมจำได้ว่าเราได้รับข้อมูลมาไม่ครบ เราทุกคนอยู่บนรถบัส แล้วเราก็ขับลงไปตรงแถวซานดิเอโกหรือที่ไหนสักแห่งนี่แหละ ฉากของเราถูกเซตเอาไว้ใกล้กับทะเล แล้วทันใดนั้นเราก็เริ่มพุ่งเข้าไปชนรถจริง ๆ เข้าอย่างจัง ปัง ! ปัง !…ทุกคนบนรถบัสเสียสติไปหมด มีคนกรีดร้องด้วย”
เดอ บอนต์ยังได้พูดถึง 1 ในปัจจัยความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ นั่นก็คือตัวของนักแสดงนั่นเอง เขาเป็นคนที่ตัดสินใจเลือกรีฟส์มารับบทตั้งแต่ที่เขาแสดงหนังแอ็กชัน ‘Point Break’ (1991) ซึ่งในตอนแรกรีฟส์ปฏิเสธที่จะรับบทนี้ เพราะบทที่เขียนให้แจ็กเป็นตำรวจที่ดูเก่งสุด ๆ จนกระทั่งรีฟส์ได้ให้คำแนะนำ ก่อนจะปรับบท แจ็ก เทรเวน ของเขาให้กลายเป็นตำรวจหนุ่มผู้มีนิสัยจริงจัง แต่เป็นคนที่สุภาพ ใจเย็น นิสัยดี ส่วนบุลล็อกก็สามารถเอาชนะนักแสดงหญิงเบอร์ใหญ่ ๆ มารับบทนี้ได้เพราะเคมีที่เข้ากันอย่างน่าประหลาดของเธอกับรีฟส์ เรื่องนี้เดอ บอนต์ได้เล่าถึงเคมีของทั้งคู่ที่นับว่าเป็นสิ่งที่พิเศษกว่าที่เขาเคยคิด และเป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจอย่างมาก
“เมื่อผมได้ดูหนังที่นี่ ผมไม่เคยรู้สึกภูมิใจในตัวนักแสดง 2 คนนี้มากขนาดนี้มาก่อนเลยครับ สิ่งที่พวกเขาทำให้ผม แม้ว่าบางครั้งมันอาจจะไม่ได้เป็นธรรมชาติสำหรับพวกเขานัก แต่มันไม่น่าเชื่อจริง ๆ ว่า ความสัมพันธ์ที่พวกเขาทั้ง 2 สร้างขึ้นด้วยกันมันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก การได้เห็นพวกเขาบนจอมันเป็นอะไรที่สมจริงสุด ๆ พวกเขาแสดงได้อย่างสมบูรณ์แบบจริง ๆ ถูกต้องไปหมดทุกอารมณ์ ทั้งเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม การจูบเบา ๆ มันเป็นอะไรที่เจ๋งมาก ผมอยากจะบอกเหลือเกินว่าพวกเขาทั้ง 2 คนยอดเยี่ยมขนาดไหน”
และแน่นอนว่าแม้ภาค 2 จะติดอยู่ในสถานะหนังเจ๊งที่หลายคนไม่อยากจะนับเป็นภาคต่อ แต่ในยุคที่หนังภาคต่อกลายเป็นเทรนด์ของฮอลลีวูด ก็ทำให้มีการพูดถึงการสร้างภาคต่อเรื่องที่ 3 ของหนังชุดนี้บ้าง และจะยิ่งดีหากทั้งคู่จะกลับมาสานต่อตำนานคู่ขวัญกันอีกครั้ง ทั้งรีฟส์และบุลล็อกตอบแบบติดตลกถึง Speed ภาค 3 ที่คราวนี้อาจได้เห็นทั้งคู่นั่งรถเข็นซิ่งแบบเร็วยิ่งกว่านรก
รีฟส์: “Speed 3: ภาคเกษียณ…”
บุลล็อก: “แต่ถ้าเป็นเวอร์ชันผู้สูงอายุ มันก็จะไม่เร็วแล้วน่ะสิ…”
เดอ บอนต์: “ผมคิดว่ามันคงเป็นหนังที่แตกต่างออกไป แต่การได้ร่วมงานกับทั้งคู่ ผมคิดว่ามันก็น่าจะเป็นหนังที่ออกมายอดเยี่ยมนะครับ”
แต่ถึงกระนั้น บุลล็อกเองก็ยอมรับว่าภาคที่ 3 ที่จะเกิดขึ้นในฮอลลีวูดยุคนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายมากนัก เพราะต้องการความทุ่มเทจากทีมงานทุกฝ่าย และเดอ บอนต์ในวัยนี้จะพร้อมมากแค่ไหนสำหรับหนังแอ็กชันระห่ำแตก
“ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นเพราะผู้ชายบ้า ๆ ที่ใส่แจ็กเก็ตสีเขียวคนนั้น วันนี้เขากลายเป็นคนนุ่มนวลและใจดีมาก ฉันเลยรู้สึกว่านี่ไม่ใช่คนที่ฉันจำได้ แต่ว่าเขาเป็นคนที่เคยรวมพลังและไอเดียเอาไว้ด้วยกัน รู้ว่าผู้ชมต้องการอะไร และกดดันทุกคนให้ทำตามนั้น และทุกคนก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม”
“แต่หนังเรื่องนั้นมันจะทำให้สมองและความอัจฉริยะของยานสงบสุขได้หรือเปล่าล่ะ เพราะมันต้องการการทุ่มเทจากคนทุกฝ่ายมาก ๆ ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนี้เรายังอยู่ในวงการที่เราพร้อมจะรับมือ และกล้าหาญพอที่จะทำมันออกมาหรือเปล่า ฉันอาจจะคิดผิดก็ได้ และถ้า เดอ บอนต์ ไม่สามารถสร้างสิ่งที่อยู่ในหัวของเขาออกมาเพื่อผู้ชมได้ ฉันก็ไม่รู้ว่าเราจะทำอะไรที่ดีพอสำหรับผู้ชมออกมาได้เหมือนกัน”