เส้นทางบันเทิงตลอดระยะเวลา 57 ปี ของ อัล ปาชิโน (Al Pacino) นักแสดงรุ่นใหญ่วัย 84 กะรัต ล้วนแต่เต็มไปด้วยผลงานคุณภาพที่บ่งบอกถึงลักษณะนิสัยการเลือกบทบาทที่เขาจะรับเล่นอย่างจริงจัง ปาชิโนเพิ่งจะผ่านการแสดงในหนังมาเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้น ก่อนที่เขาจะได้รับบท ไมเคิล คอร์เลโอเน ใน ‘The Godfather’ (1972) ที่แจ้งเกิดให้เขาเป็นที่รู้จักในฮอลลีวูด

และการรับงานก็ทำให้เขามีผลงานการแสดงคุณภาพในมือมากมาย อาทิ ‘The Godfather Part II’ (1974) และ ‘The Godfather Part III’ (1990) รวมทั้งบทบาทของเขาใน ‘Serpico’ (1973), ‘Dog Day Afternoon’ (1975), ‘Scarface’ (1983) และได้รับรางวัลออสการ์จากการรับบทนำใน ‘Scent of a Woman’ (1992)

แต่ในช่วงชีวิตการเป็นนักแสดงของปาชิโนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะครั้งหนึ่งเขาเองต้องจำยอมรับงานแสดงในแบบที่เขาไม่ได้อยากจะรับ หลังจากที่เขาพบว่าถูกที่ปรึกษาด้านการลงทุนฉ้อโกง จนทำให้เขาสูญเงินที่หามาได้จากการแสดงไปจนหมดเกลี้ยง

ในหนังสือบันทึกความทรงจำเล่มใหม่ของเขาที่ใช้ชื่อว่า ‘Sonny Boy’ ที่เพิ่งเปิดตัว ปาชิโนได้เล่าถึงช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในอาชีพของเขา เมื่อปาชิโนต้องสูญเสียเงินให้กับนักบัญชี ที่เข้ามาเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนของเขาอย่างผิดพลาด ทำให้เขาต้องสูญเสียเงิน 50 ล้านเหรียญไปในพริบตา ก่อนที่นักบัญชีของเขาจะถูกจับกุมในข้อหาแชร์ลูกโซ่

Al Pacino Adam Sandler Jack and Jill

ปาชิโนเล่าเอาไว้ในหนังสือว่า ในปี 2011 เขาเริ่มได้รับคำเตือนว่าที่ปรึกษาด้านการลงทุน ซึ่งมีลูกค้าเป็นคนดังมากมายรวมถึงตัวเขานั้นไม่น่าไว้วางใจ ในขณะเดียวกัน ปาชิโนกำลังจะจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเช่าบ้านหลังใหญ่หรูหราในย่านเบเวอรีฮิลล์ ก่อนจะพาครอบครัวไปท่องเที่ยวยุโรปด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว Gulfstream 550 แสนหรูหรา และเช่าโรงแรม Dorchester ในลอนดอนแบบยกชั้น

จนเมื่อปาชิโนกลับมาถึงบ้านในฮอลลีวูดของเขา เขาเริ่มสงสัยว่า ตัวเลขเงินของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก แม้จะใช้จ่ายเงินจำนวนมากไปกับการพักผ่อน ปาชิโนเขียนบรรยายถึงความรู้สึกของเขาในตอนนั้นว่า “และผมก็คิดว่ามันชัดเจนมาก เห็นได้ชัดเลย ผมรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และเวลาก็หยุดนิ่งไป ผมกำลังจะ-ิบหาย”

“ผมล้มละลาย ผมมีเงิน 50 ล้านเหรียญ แต่ก็ไม่เหลืออะไรเลย ผมมีแต่ทรัพย์สิน แต่ไม่มีเงิน ในวงการนี้ เมื่อคุณได้เงินมา 10 ล้านเหรียญ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะได้ 10 ล้านเหรียญจริง ๆ เพราะหลังจากหักค่าธรรมเนียมทนาย ค่านายหน้า ค่าประชาสัมพันธ์ และภาษีแล้ว เงินในกระเป๋าเงินของคุณไม่ใช่ 10 ล้านเหรียญ แต่เหลือแค่ 4.5 ล้านเหรียญ แต่ผมกลับใช้จ่ายจนเกินตัว เพียงเพราะผมคิดว่าตัวเองมีชีวิตที่หรูหราฟู่ฟ่า และนั่นแหละทำให้ผมสูญเสียเงินนั้นไป มันเป็นสิ่งที่แปลกมาก ยิ่งคุณหาเงินได้มากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งเหลือน้อยลงเท่านั้น”

นักบัญชีคนดังกล่าวที่ปาชิโนพูดถึงก็คือ เคนเน็ธ สตาร์ (Kenneth Starr) นักบัญชีและที่ปรึกษาการลงทุนในนิวยอร์ก เขามีชื่อเสียงในฐานะที่ปรึกษาด้านการลงทุนให้กับปาชิโน รวมทั้งนักแสดงฮอลลีวูด รวมทั้งคนดังระดับมหาเศรษฐีจำนวนมาก อาทิ นาตาลี พอร์ตแมน (Natalie Portman), มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese), เวสลีย์ สไนปส์ (Wesley Snipes), ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน (Sylvester Stallone), อูมา เธอร์แมน (Uma Thurman) และอีกมากมาย

เดือนมีนาคม ปี 2011 สตาร์ถูกจับกุมข้อหาแชร์ลูกโซ่ในอะพาร์ตเมนต์ส่วนตัวสุดหรูในย่านแมนฮัตตันที่เขาตกแต่งด้วยเงินที่ได้จากการกระทำผิด ศาลตัดสินให้สตาร์มีความผิดในคดีแชร์ลูกโซ่ที่มีนักแสดงฮอลลีวูดและบุคคลที่มีชื่อเสียงเป็นผู้เสียหายรวมทั้งหมด 23 กระทง คิดเป็นความเสียหายจำนวนกว่า 35 ล้านเหรียญ ถูกตัดสินจำคุกในเรือนจำ 7 ปีครึ่ง และรับโทษกักตัวในบ้านต่อจนพ้นโทษ

ปาชิโนอธิบายถึงการใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายของเขาในเวลานั้น รวมถึงเหตุผลที่ทำให้เขาจำต้องเปลี่ยนแนวคิดในการรับเลือกงานแสดง หลังจากที่ปาชิโนรู้ตัวว่า เขากำลังจะล้มละลายในวัย 70 ปี

“เงินที่ผมใช้ และสิ่งที่ถูกใช้จ่ายออกไป มันเป็นเพียงภาพรวมของการสูญเสียอันบ้าคลั่ง คนดูแลสวนของผมได้เงินปีละ 400,000 เหรียญ ผมไม่ได้พูดเกินจริงเลย มันเป็นแบบนั้นมาตลอด อย่าลืมนะว่านั่นคือค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดสวนในบ้านที่ผมไม่เคยได้อาศัยอยู่เลยด้วยซ้ำ”

“และผมก็ไม่ได้เป็นคนหนุ่มอีกต่อไปแล้ว ผมจะไม่สามารถหาเงินจากการแสดงหนังได้อย่างเท่าที่เคยทำได้มาก่อน การรับเงินก้อนใหญ่ที่ผมคุ้นเคยนั้นไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป กระแสเปลี่ยนไป ผมพบว่าการหาบทที่เหมาะกับตัวผมเองนั้นเป็นเรื่องที่ยากขึ้นกว่าเดิม”

ก่อนจะล้มละลาย ปาชิโนมักจะรับเลือกงานแสดงจากบทบาทที่เขาสนใจจริง ๆ เท่านั้น “ผมจะรับงานแสดงก็ต่อเมื่อผมรู้สึกว่าตัวผมมีความเกี่ยวพันกับบทบาทนั้น และผมรู้สึกว่าผมสามารถนำเสนออะไรบางอย่างได้” ตัวอย่างของหนังที่ตรงกับแนวคิดนี้ก็คือ ‘Ocean’s Thirteen’ (2007) หรือแม้แต่ในหนัง ’88 Minutes’ (2007) ที่เขารับบทเป็นจิตแพทย์วิเคราะห์อาชญากรรมของ FBI ที่โดนผู้ร้ายขู่ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่อีกแค่ 88 นาที ซึ่งเป็นหนังที่ล้มเหลวทั้งรายได้และคำวิจารณ์ ทำคะแนนบนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ได้เพียง 5%

แต่เมื่อการล้มละลายไม่เข้าใครออกใคร ปาชิโนจึงจำเป็นต้องละทิ้งกฎเกณฑ์ในการเลือกรับงานแสดงของเขา และหันไปรับบทอะไรก็ได้ที่ได้ค่าตัวสูง ๆ นั่นจึงทำให้เขาที่ปฏิเสธงานโฆษณา ยอมรับงานครั้งแรกในโฆษณากาแฟยี่ห้อ Vittoria ที่กำกับโดย แบร์รี เลวินสัน (Barry Levinson) ผู้กำกับหนังรางวัลออสการ์จาก ‘Rain Man’ (1988) และ ‘Good Morning, Vietnam’ (1987)

นอกจากนี้ เขายังหันไปรับบทในหนังตลก ‘Jack and Jill’ (2011) ที่แสดงและเขียนบทโดย อดัม แซนด์เลอร์ (Adam Sandler) หนังเรื่องนี้ ปาชิโนพลิกบทบาทด้วยการรับบทเป็น อัล ปาชิโน นักแสดงผู้มีปัญหาคุ้มคลั่งตอนแสดงละครเวที ก่อนที่ตัวละครของแซนด์เลอร์จะชวนให้เขามาแสดงโฆษณาเมนูใหม่ของร้าน Dunkin’ Donuts ฉากที่เด่นที่สุดของเขาก็คือฉากที่เขานั่งชมการแข่งขันบาสเกตบอล NBA ร่วมกับ จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) สลัดภาพมาดเท่ของนักแสดงรุ่นเก๋าไปอย่างสิ้นเชิง

“‘Jack and Jill’ เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผมแสดงหลังจากที่ผมสูญเสียเงินไป พูดกันตรง ๆ เลย ที่ผมรับเล่นก็เพราะว่าผมไม่มีทางเลือกอื่น อดัม แซนด์เลอร์ อยากให้ผมร่วมแสดง และพวกเขาก็จ่ายเงินให้ผมมากมาย ผมจึงตัดสินใจรับเล่น และมันก็ช่วยได้จริง ๆ ผมรักอดัม เขาเป็นคนร่วมงานของผมที่ยอดเยี่ยม และกลายมาเป็นเพื่อนรักของผม เขายังเป็นทั้งนักแสดงที่เก่งและเป็นคนที่น่าทึ่งอีกด้วย”

Al Pacino Jack and Jill

นี่คือหนังตลกอีกเรื่องของแซนด์เลอร์ที่ถูกวิจารณ์ถล่มอย่างหนัก โดยเฉพาะการหันมารับบทตลกของปาชิโนที่หลายคนมองอย่างเห็นอกเห็นใจ ในขณะที่หลายคนก็มองว่าเป็นตราบาปอันน่าอับอายในอาชีพการแสดงของเขาด้วยเช่นกัน เป็นหนังที่ได้คะแนน Tomatometer บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes เพียง 3% ซึ่งนับว่าเป็นคะแนนที่น้อยที่สุดในชีวิตการแสดงของปาชิโน แถมยังส่งให้เขาได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดแย่, นักแสดงคู่ยอดแย่ และทีมนักแสดงยอดแย่จากเวที Golden Raspberry Awards หรือ Razzie Awards อีกต่างหาก

นอกจากการรับงานแสดงแบบเล่นใช้หนี้ ปาชิโนยังตัดสินใจขายบ้าน 1 ใน 2 หลังที่เขามีออกไป และเริ่มเก็บค่าตอบแทนจากการเดินทางไปพูดบรรยายทั้งในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเรียกเก็บเงินมาก่อนเลย

“การพูดบรรยายเป็นอีก 1 การค้นพบที่สำคัญของผม ในอดีต ผมเคยไปตามวิทยาลัย และพูดคุยกับเด็ก ๆ ที่นั่นอยู่บ่อย ๆ ทางหนึ่งก็แค่เพื่อออกไปให้พวกเขาได้เจอ ผมมักจะเล่าเรื่องชีวิตของผมเล็กน้อย และให้พวกเขาถามคำถาม ผมไม่เคยได้รับค่าตอบแทนเลย ผมก็แค่ทำไป”

“แต่ตอนที่ผมล้มละลาย ผมก็เริ่มคิดว่า ‘ทำไมเราไม่ลองต่อยอดดูล่ะ ?’ ยังมีสถานที่อื่น ๆ อีกมากมายที่ผมสามารถไปจัดการบรรยายได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นมหาวิทยาลัย ผมรู้ว่ามันยังมีตลาดที่กว้างกว่านี้ ดังนั้นผมจึงเริ่มออกเดินทางไปบรรยายตามสถานที่ต่าง ๆ และพบว่ามันได้ผล ผู้ชมมาร่วมงานเพราะว่าผมยังคงมีชื่อเสียงอยู่”

โชคยังดีที่การแสดงบทตลกไม่ได้กลบรัศมีของปาชิโน เพราะในทศวรรษต่อมา เขาเองก็ยังคงมีงานแสดงคุณภาพที่ทำให้เขายังโชว์เสน่ห์และฝีมือการแสดงอันล้นเหลือของเขาออกมาได้ ตั้งแต่การรับบทใน ‘Danny Collins’ (2015), ‘Once Upon a Time in Hollywood’ (2019) และการรับบทเป็น จิมมี ฮอฟฟา (Jimmy Hoffa) ในหนังมาเฟียเรื่อง ‘The Irishman’ (2019) ที่ส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชาย ซึ่งนับเป็นการเข้าชิงออสการ์ครั้งที่ 9 ในชีวิตของเขา

ปาชิโนเคยพูดถึงความรู้สึกของเขาในการหันมาแสดงหนังตลกในช่วงชีวิตที่ไม่ตลกกับ The New York Times

“กับหนัง ‘Jack and Jill’ ผมคิดว่ามันก็ตลกดีนะ มันมาถึงในช่วงที่ผมต้องการมันจริง ๆ เพราะมันเกิดขึ้นหลังจากที่ผมรู้ตัวว่าไม่มีเงินเหลืออีกแล้ว นักบัญชีของผมติดคุก และผมก็ต้องหางานทำแบบด่วน ๆ ผมเลยรับงานนี้มา มีอยู่ฉากหนึ่งในหนังที่ผมต้องถ่ายโฆษณา Dunkin’ Donuts ด้วย คุณรู้ไหม มีคนที่คิดว่าผมถ่ายโฆษณานั่นจริง ๆ ด้วยนะ”