ปี 2024 นับว่าเป็นปีที่ไม่ง่ายของหนังฮอลลีวูด หนังฟอร์มยักษ์และหนังตัวเก็งหลายเรื่องต่างพากันล้มเหลวทั้งในด้านคำวิจารณ์และรายได้ จนทำให้หลาย ๆ สตูดิโอเจ็บหนัก แต่สตูดิโอที่ดูจะเจ็บหนักที่สุดของปีนี้คงต้องยกให้ Lionsgate Studios สตูดิโอภาพยนตร์ชื่อใหม่หน้าเก่าที่แยกแผนกธุรกิจภาพยนตร์และโทรทัศน์จากบริษัทแม่ Starz Inc. ออกเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา
เว็บไซต์ The Wrap ได้รายงานถึงปีที่เจ็บหนักของค่ายประตูสิงห์ หลังจากที่ในปีนี้ Lionsgate Studios ประสบความล้มเหลวจากการจัดจำหน่ายหนังติดต่อกันถึง 6 เรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดามากกว่า 1,000 โรง แต่กลับทำรายได้ไม่ถึง 50 ล้านเหรียญ และได้รับคำวิจารณ์ในทางลบ
ไล่ไปตั้งแต่ ‘Borderlands’ ภาพยนตร์ดัดแปลงจากเกมที่เข้าฉายในเดือนสิงหาคม ทำรายได้ทั่วโลกไปเพียง 33 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 110-120 ล้านเหรียญ ก่อนเจ็บซ้ำสองจาก ‘The Crow’ ฉบับรีเมกที่รับบทโดย บิล สการ์สการ์ด (Bill Skarsgård) ที่ได้รับคำวิจารณ์ในทางลบ และทำรายได้ทั่วโลกไปเพียง 23 ล้านเหรียญ
ก่อนจะเจ็บซ้ำสามช่วงเดือนกันยายนกับหนังแอ็กชันคอเมดี ‘The Killer’s Game’ ที่นำแสดงโดย เดฟ เบาติสตา (Dave Bautista) ที่ได้รับคำวิจารณ์ในทางลบ ทำรายได้ไปเพียง 5.9 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 30 ล้านเหรียญ รวมทั้งหนังสยองขวัญพล็อตแปลก ‘Never Let Go’ ที่ได้ ฮัลลี แบร์รี (Halle Berry) แสดงนำ ที่ได้คำวิจารณ์ปานกลาง และทำรายได้คืนทุนสร้าง 21 ล้านเหรียญจากทุนสร้าง 20 ล้านเหรียญ
รวมทั้ง ‘Megalopolis’ ผลงานหนังไซไฟมหากาพย์สุดทะเยอทะยานของ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา (Francis Ford Coppola) ที่แม้จะเป็นผู้ออกทุนสร้าง 120 ล้านเหรียญด้วยตัวเอง แต่กลับได้รับคำวิจารณ์ค่อนไปทางลบ และทำรายได้ทั่วโลกจากการฉายใน 10 ประเทศไปเพียง 10 ล้านเหรียญ และแม้คอปโปลาจะเป็นผู้ออกเงินค่าโปรโมตเพิ่มอีกราว ๆ 15-20 ล้านบาทเพื่อฉายในโรงหนัง 1,500 โรงทั่วสหรัฐอเมริกา แต่ Lionsgate Films ก็ยังขาดทุนจากการควักเงินค่าดำเนินการจัดจำหน่ายภายในประเทศด้วยเช่นกัน
และภาพยนตร์ของสตูดิโอที่ล้มเหลวล่าสุดก็คือ ‘White Bird’ หนัง Coming-of-Age ภาคต่อหนังเปี่ยมแรงบันดาลใจ ‘Wonder’ (2017) ที่เคยทำรายได้ทั่วโลกถึง 315 ล้านเหรียญ แต่หลังจากเข้าฉายเปิดตัวในโรงหนัง 1,018 แห่ง กลับทำรายได้ไปเพียง 1.58 ล้านเหรียญ
ความล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง เรียกร้องให้ Lionsgate ต้องทำการตรวจสอบแผนงานและการเงินของบริษัทอย่างใกล้ชิด แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบในหนังทั้งหมด จากข้อตกลงการร่วมผลิต ข้อตกลงด้านการเงิน และการขายสิทธิ์การฉายล่วงหน้าในต่างประเทศของหนังแต่ละเรื่อง แต่การพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ ก็ทำให้ผลประกอบการของสตูดิโอที่เพิ่งแยกตัวพลอยย่ำแย่ตั้งแต่เริ่มต้นยืนด้วยขาของตัวเอง
“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผลประกอบการ และอย่างน้อย ก็ต้องมีหนังสักเรื่องที่ช่วยปรับปรุงผลประกอบการนั้นได้ แต่ผมไม่เคยเห็นการล้มเหลวติดต่อกันแบบที่ Lionsgate กำลังเผชิญมานานมากแล้ว” เจฟฟ์ บ็อก (Jeff Bock) นักวิเคราะห์ด้านธุรกิจบันเทิงจากบริษัท Exhibitor Relations กล่าว
‘Ballerina’ ความหวังของหมู่บ้าน (อีกครั้ง) ?
1 ในภาพยนตร์ความหวังที่นับว่าเป็น ‘ตัวแทนหมู่บ้าน’ ของ Lionsgate ที่ประสบความสำเร็จในทุก ๆ ภาค นั่นก็คือแฟรนไชส์นักฆ่า ‘John Wick’ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของแฟรนไชส์อย่าง ‘John Wick: Chapter 4’ (2023) ได้รับคำวิจารณ์และทำรายได้อย่างงดงามที่ 440 ล้านเหรียญ หนังจากแฟรนไชส์ John Wick เรื่องต่อไปที่จะเป็นตัวแทนของหมู่บ้านประตูสิงห์ก็คือ ‘From the World of John Wick: Ballerina’ หนัง Spin-Off โลกนักฆ่าของ จอห์น วิค ผลงานการกำกับโดย เลน ไวส์แมน (Len Wiseman)
‘Ballerina’ เป็นการขยายจักรวาลเรื่องราวของนักเต้นบัลเลต์หญิงแห่งองค์กรรุสกา โรมา องค์กรนักฆ่าที่มีโรงเรียนบัลเลต์บังหน้า จาก ‘John Wick: Chapter 3 – Parabellum’ (2019) ที่ได้ อนา เดอ อามัส (Ana de Armas) มารับบทเป็นรูนีย์ นักเต้นผู้มีอีกด้านเป็นนักฆ่า และมีการยืนยันว่า คีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves) จะกลับมาปรากฏตัวในบทบาท จอห์น วิค จากตัวอย่างที่ปล่อยออกมา โดยมีกำหนดการฉายในวันที่ 6 มิถุนายน ปี 2025
เดิมที Lionsgate มีแผนจะเข้าฉายภายในปีนี้ แต่สุดท้ายสตูดิโอได้ตัดสินใจเลื่อนกำหนดการฉายออกไป 1 ปีเต็ม โดยในตอนนั้นสตูดิโอได้เปิดเผยแต่เพียงว่าเป็นการตัดสินใจเลื่อนเพื่อยกระดับฉากแอ็กชันให้สมกับการรอคอยมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ The Wrap รายงานข้อมูลจากแหล่งข่าวใกล้ชิด 3 คนที่เปิดเผยเหตุผลของการเลื่อนฉาย เนื่องจาก แชด สตาเฮลสกี (Chad Stahelski) ผู้กำกับ ‘John Wick’ ทุกภาค ผู้ทำหน้าที่โปรดิวเซอร์ ได้เข้ามาดำเนินการถ่ายซ่อมฉาก ‘Ballerina’ ที่ไวส์แมนถ่ายไว้แล้วเกือบทั้งหมด
แหล่งข่าวคนหนึ่งรายงานว่า สตาเฮลสกีได้ดำเนินการถ่ายซ่อมในต่างประเทศ เช่นฉากในเมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการีเป็นระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน โดยเป็นการถ่ายซ่อมและถ่ายทำฉากแอ็กชันเพิ่มเติม โดยที่ไม่มีไวส์แมนอยู่ในกองถ่ายด้วย เนื่องจากผู้บริหารของสตูดิโอไม่ชอบแนวทางการกำกับของไวส์แมน และทำให้โปรเจกต์รีบูตหนังแอ็กชันผจญภัยแฟนตาซีจากยุค 80s ของสตาเฮลสกีอย่าง ‘Highlander’ ที่วางตัวให้ เฮนรี คาวิลล์ (Henry Cavill) รับบทนำต้องล่าช้าออกไปด้วย
“แน่นอนว่า แชดต้องเข้ามาช่วยเก็บกวาดงานของคนอื่น และต้องจำไว้ว่า หนังเรื่องนี้คือ ‘John Wick ภาค 3.5’ เรื่องราวนี้เกิดขึ้นก่อน ‘John Wick 4’ และหลังจากหนังเรื่องนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถยินยอมให้มีความล้มเหลวเกิดขึ้นกับหนังเรื่องใด ๆ ของ ‘John Wick’ ได้อีก” คนวงในกล่าว
แม้ว่าการถ่ายซ่อมจะไม่ได้การันตีว่าหนังเรื่องนั้นจะล้มเหลวเสมอไป แต่ ‘Borderlands’ ก็นับว่าเป็นหนังที่ได้รับการถ่ายซ่อมอยู่นานถึง 2 สัปดาห์ และได้รับการแก้ไขในขั้นตอนหลังการถ่ายทำอย่างหนัก โดยได้ ทิม มิลเลอร์ (Tim Miller) ผู้กำกับ ‘Deadpool’ (2016) มาดูแลงานถ่ายซ่อมแทนผู้กำกับ อีไล รอธ (Eli Roth) ที่มีคิวกำกับหนัง ‘Thanksgiving’ (2023) ต่อทันที
ก้าวต่อไปของ Lionsgate
แน่นอนว่า Lionsgate ไม่ได้มีแต่ด้านที่ล้มเหลว จากความสำเร็จของ ‘Saw X’ และ ‘The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes’ ในปี 2023 เป็นตัวบ่งบอกได้อย่างดีว่า Lionsgate ประสบความสำเร็จในการฟื้นคืนชีพแฟรนไชส์หนังที่หยุดชะงักไปนาน
คำถามที่น่าคิดคือ แม้จะมีโปรเจกต์น่าจับตารออยู่ แต่ Lionsgate จะรักษาจังหวะสำเร็จ-ล้มเหลวเหมือนที่เคยเกิดขึ้นและห่างหายไปนานได้หรือไม่ ย้อนกลับไปในปี 2019 ‘John Wick: Chapter 3 – Parabellum’ สามารถทำรายได้ 327 ล้านเหรียญ และ ‘Knives Out’ หนังรหัสคดีตลกร้ายของ ไรอัน จอห์นสัน (Rian Johnson) ทำรายได้ 312 ล้านเหรียญ ทำให้ Lionsgate มีรายได้รวมกับหนังเรื่องอื่น ๆ ในปีนั้นสูงถึง 797 ล้านเหรียญ มากกว่าปี 2018 ที่ทำได้เพียง 352 ล้านเหรียญ
รีฟส์อาจเป็นอีก 1 กุญแจสำคัญที่ทำให้ Lionsgate กลับมาฟื้นตัวได้ ไม่ว่าจะทั้งบทบาท จอห์น วิค ใน ‘Ballerina’ และการกลับมาแสดงหนังตลกในรอบหลายปีของเขาใน ‘Good Fortune’ ที่กำกับโดย อาซิซ อันซารี (Aziz Ansari) โดยในขณะนี้ยังไม่มีกำหนดการฉาย แต่ภาพของรีฟส์ที่ต้องใส่เฝือกและใช้ไม้คำยันหลังประสบอุบัติเหตุสะดุดพรมจนทำให้ลูกสะบ้าแตก ก็ปรากฏในสื่อและโซเชียลมีเดียไปก่อนล่วงหน้าแล้ว
“ไม่แน่ว่า ‘Good Fortune’ อาจจะเป็นผลงานฮิตเรื่องต่อไปของ Lionsgate ทุก ๆ สตูดิโอล้วนต้องการผลงานที่ประสบความสำเร็จออกมาอยู่เรื่อย ๆ แต่ถ้าหนังมันมีคุณภาพอยู่แล้ว คำถามคือ Lionsgate จะรู้วิธีการทำการตลาดหรือไม่ ? หวังว่าคงจะมีบทเรียนที่ได้รับจากช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา” บ็อกกล่าว
Lionsgate ยังคงมีหนังน่าสนใจที่วางโปรแกรมฉายภายในปี 2025 และ 2026 ที่จะถึงนี้มากมาย ตั้งแต่ ‘Michael’ ภาพยนตร์ชีวประวัติ ไมเคิล แจ็กสัน (Michael Jackson) กำกับโดย อองตวน ฟูคัว (Antoine Fuqua) ที่จะเข้าฉายในวันที่ 18 เมษายน ปี 2025 รวมทั้ง ‘Saw XI’ ภาคต่อโดยตรงจาก ‘Saw X’ ที่แต่เดิมมีกำหนดฉายในปีนี้ ก่อนจะเลื่อนไปฉายในวันที่ 26 กันยายน 2025
รวมทั้ง ‘Dirty Dancing’ ภาคต่อหนังโรแมนติกดราม่าเต้นรำจากยุค 80s ที่วางกำหนดฉายชนกับ ‘Ballerina’, ‘Now You See Me 3’ หนังภาคต่อจารกรรมทริลเลอร์สุดฮิตที่มีกำหนดฉาย 14 พฤศจิกายน 2025 และหนังภาคต่อแฟรนไชส์ ‘The Hunger Games’ ที่ใช้ชื่อภาคว่า ‘Sunrise on the Reaping’ ที่มีกำหนดฉายในวันที่ 20 พฤศจิกายน ปี 2026