[รีวิว] Smile 2: ยิ้มหลอนเอนเทอร์เทนเมนต์ วิปลาศหลอกซ้ำกำลังสอง
Our score
7.6

Release Date

17/10/2024

แนว

สยองขวัญ

ความยาว

2.07 ช.ม. (127 นาที)

เรตผู้ชม

R

ผู้กำกับ

ปาร์กเกอร์ ฟินน์ (Parker Finn)

[รีวิว] Smile 2: ยิ้มหลอนเอนเทอร์เทนเมนต์ วิปลาศหลอกซ้ำกำลังสอง
Our score
7.6

Smile 2 | ยิ้มสยอง 2

จุดเด่น

  1. หนังจับประเด็นเรื่องราวกว้างยิ่งขึ้น ขยายขนาดเรื่องราวจากภาคแรกให้ใหญ่กว่าเดิมมาก
  2. การแสดงของ นาโอมิ สก็อตต์ มาเต็มร้อย เป็น Scream Queen คนใหม่ได้สบาย ๆ
  3. การจับประเด็นความกดดันของคนดังมาผสานกับอาการทางจิต และสภาพชีวิตส่วนตัวได้อย่างกลมกลืน
  4. ฉากสยองขวัญโหด ๆ จัดเต็มยิ่งกว่าเดิม เด็ก ๆ ควรอยู่ให้ห่าง

จุดสังเกต

  1. แนวทางสยองขวัญและบทสรุปค่อนข้างเดาง่าย ยังมีสูตรสำเร็จหนังสยองขวัญและจากภาคแรกอยู่
  2. ตัดพาร์ตสืบสวนสอบสวนออกไป ทำให้ภาคนี้นางเอกเลยตกเป็นเหยื่อแบบเต็ม ๆ
  • คุณภาพด้านการแสดง

    8.0

  • คุณภาพโปรดักชัน

    7.3

  • คุณภาพของบทภาพยนตร์

    7.2

  • ความบันเทิง

    7.9

  • ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม

    7.6


Major Cineplex logo
สนับสนุนโดย Major Cineplex

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ‘Smile’ (2022) หนังสยองขวัญสเกลเล็กที่พัฒนาจากโครงเรื่องหนังสั้น ‘Laura Hasn’t Slept’ (2020) ของ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ (Parker Finn) ได้สร้างปรากฏการณ์ยิ้มหลอนที่กลายเป็นไวรัลในโลกอินเทอร์เน็ต (โดยเฉพาะไวรัลที่ส่งคนไปยืนยิ้มหลอนตอนถ่ายทอดสดกีฬา) และพอเข้าฉายในโรง ก็ยังสร้างปรากฏการณ์สยองจนได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกอย่างงดงาม ทำคะแนนบนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes สูงถึง 80% ยิ้มรับรายได้ Box Office 217 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างแค่ 17 ล้านเหรียญ และมาปีนี้ อาถรรพ์ยิ้มสยองจากปีศาจ Smile Entity กลับมาสร้างความหลอนอีกครั้งใน ‘Smile 2’ ที่ยังคงได้ฟินน์กลับมารับหน้าที่ควบทั้งกำกับ เขียนบท และนั่งแท่นโปรดิวเซอร์เช่นเคย

‘Smile 2’ เล่าเรื่องราวต่อจากภาคแรก โดยหันไปเล่าเรื่องของ สกาย ไรลีย์ (นาโอมิ สก็อตต์ – Naomi Scott) นักร้องสาวซูเปอร์สตาร์ระดับโลก ที่กำลังจะเริ่มต้นเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลกในอีกไม่นาน หลังจากที่เธอหยุดพักการเป็นศิลปินไปนานด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ในระหว่างที่เธอกำลังเตรียมตัวซักซ้อมเพื่อขึ้นคอนเสิร์ต สกายต้องเจอกับเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เธอไม่สามารถอธิบายได้

Smile 2 Photo Courtesy of Paramount Pictures 2024

เธอต้องพบเห็นการตายของเพื่อน ลูอิส (ลูคัส เกจ – Lukas Gage) ที่มาพร้อมกับรอยยิ้มสุดหลอนต่อหน้าต่อตา บวกกับความกดดันที่เกิดขึ้นจากชื่อเสียงของเธอที่ถูกควบคุมโดย อลิซาเบธ ไรลีย์ (โรสแมรี เดอวิตต์ – Rosemarie DeWitt) แม่และผู้จัดการส่วนตัว สกายต้องพบเจอกับคำสาปยิ้มหลอนสุดสะพรึงที่ไร้ตัวตน และยากจะอธิบายให้ใครฟัง และย้อนกลับไปเผชิญกับอดีตอันโหดร้ายของเธอกับแฟนหนุ่ม พอล ฮัดสัน (เรย์ นิโคลสัน – Ray Nicholson) สกายจึงต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงสิทธิ์การควบคุมชีวิตของตัวเอง ก่อนที่มันจะมอบรอยยิ้มหลอนให้กับเธอ

เชื่อว่าหลายคนอาจจะแอบงงกับฉากเปิดของภาคนี้ เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องมาจากไทม์ไลน์ในภาคแรกเลยครับ และก็ทำใจไว้ได้เลยว่ามันไม่ได้มีเส้นเรื่องอะไรไปมากกว่านี้ และมันก็ไม่ได้เชื่อมโยงเนื้อเรื่องกับภาคนี้ด้วย เพราะฉะนั้นก็ไม่แปลก ถ้าคนที่ไม่เคยดูภาคแรกมาก่อนจะงงกับที่มาของฉากนี้ ในขณะที่ถ้าคนดูแล้ว นี่คือฉากที่เสมือนทำหน้าที่เป็น Intro ไปสู่เนื้อเรื่องหลักเสียมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้น งานสร้างของเขาก็พิถีพิถันใช่ย่อยนะครับ เป็นงานแอ็กชันทริลเลอร์เดินเรื่องแบบ Long Take ที่ทำออกมาได้โหดระทึก ครีเอต และปิดจบพาร์ตนี้ได้สยองแบบอุ่นเครื่องสุด ๆ ไปเลย

Smile 2 Photo Courtesy of Paramount Pictures 2024

ภาคนี้ยังคงนำเสนอด้วยรูปแบบหนังสยองขวัญทริลเลอร์แนวต้องคำสาป ที่ผสานเข้ากับปัญหาทางจิตในแบบ Psychological Horror ทั้งปัญหาโรคซึมเศร้า (Depression), โรคแพนิก (Panic Disorder), สภาวะทางจิตหลังพบเจอเหตุการณ์กระทบกระเทือนใจ (Post-Traumatic Stress Disorder – PTSD) หรือแม้แต่โรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive-Compulsive Disorder – OCD) ซึ่งด้วยความที่เรื่องราวและตอนจบในภาคแรกมันมีความเป็นปริศนาคลุมเครือประมาณหนึ่ง ภาคนี้ก็เลยได้เปรียบตรงที่มีการอธิบายว่า สิ่งนี้คือ Smile Entity ที่ไม่รู้ว่าจะจัดให้อยู่ในหมวดผี ปีศาจ คำสาป ไวรัส หรืออะไรดี รู้แค่เพียงว่ามันมีอำนาจครอบงำจิตใจอันอ่อนไหวเปราะบางของคนที่เป็นโฮสต์ และถ้าใครมาเห็นโฮสต์ยิ้มสยองและสังหารตัวเอง คนนั้นก็จะเป็นโฮสต์รายถัดไป วนเวียนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ

ความต่างที่ชัดเจนของภาคนี้กับภาคแรกที่เห็นชัด ๆ ก็คงเป็นเรื่องของงานสร้างโดยรวมที่ขยายใหญ่ขึ้นกว่าภาคที่แล้วอย่างชัดเจน (แต่ก็ไม่ได้เยอะมากนะ จัดไป 28 ล้านเหรียญ) ที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจนก็คืองานโปรดักชันที่ฟอร์มใหญ่ขึ้นกว่าภาคแรกพอสมควร รวมทั้ง Art Direction ทั้งมุมกล้องสุดฉวัดเฉวียน การตัดต่อ การครีเอตช็อต Dissolve เปลี่ยนซีนโน่นนั่นนี่ที่ครีเอตมากขึ้น ผีบ้าผีบอมากขึ้น และแทนที่จะจับเรื่องของจิตแพทย์ที่มีความส่วนตัวมากกว่า ภาคนี้ก็หันไปจับชีวิตของศิลปิน แถมยังเป็นศิลปินระดับโลก ซึ่งเราก็จะได้เห็น นาโอมิ สก็อตต์ ในมาดของซูเปอร์สตาร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากดีวาตัวแม่ ๆ ทั้งหลาย ตั้งแต่เลดีกากา (Lady Gaga), ริฮานนา (Rihanna) ส่วนเนื้อเพลงป็อป ๆ ถ้าแอบอ่านซับดี ๆ ก็จะมีความไซโคบางอย่างที่เข้ากับตัวหนังอีกซะด้วยแน่ะ

Smile 2 Photo Courtesy of Paramount Pictures 2024

สิ่งที่เจ๋งของภาคนี้ก็คือการหยิบเรื่องราวปัญหาทางจิตของคนเป็นศิลปินที่กำลังกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของ Smile Entity ที่ไม่ได้มีแต่ด้านติดแกลม แต่ยังมีด้านมืด รวมทั้งความผิดพลาดในชีวิตอันใหญ่หลวงที่ส่งผลต่อชีวิตของเธออย่างร้ายแรง รวมไปทั้งการสะท้อนภาพด้านมืดของวงการบันเทิงและอุตสาหกรรมดนตรีที่เต็มไปด้วยสภาวะกดดันรอบด้าน ทั้งความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีตที่ส่งผลต่ออาชีพ ความกดดันจากการทำงานในฐานะศิลปิน การรับมือกับแฟนเพลงและสื่อในฐานะบุคคลสาธารณะ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเปลือกหนาที่ห่อหุ้มจนทำให้เธอไม่อาจดิ้นหลุดออกไปจากภาพลักษณ์ของศิลปินที่พึงเป็น ความรู้สึกผิดอันร้ายแรง การพยายามหลีกหนีความทุกข์และความเจ็บปวดเรื้อรังแบบชั่วครั้งชั่วคราว และสุดท้ายความเป็นศิลปินก็ไม่อาจเอื้ออำนวยให้เธอหลบหนีจากรอยยิ้มหลอนแตกไปได้ในที่สุด

บรรดาเหยื่อคนยิ้มก็เลยกลายเป็นตัวแทนของ Smile Entity ที่ครอบงำตัวของสกายได้อย่างเบ็ดเสร็จ หากในภาคแรกคือการนำเสนอประเด็นและสถานการณ์ปัญหาด้านจิตวิทยาที่มีความใกล้ตัวมากกว่า ภาคนี้ก็เป็นการนำเสนอภาพความเปราะบางและอ่อนไหวของคนดัง ซึ่งมีเหยื่อคนยิ้มเป็นตัวแทนของความกดดันทั้งหลายแหล่ที่สกายต้องพบเจอ และเป็นเสมือนกับรอยโรคปัญหาทางจิตที่สกายต้องเผชิญ ในแง่นี้ ตัวหนังมันก็เลยทำหน้าที่สับขาหลอกเราไป ๆ มา ๆ ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่เราจะได้เห็นสกายกำลังถูก Smile Entity หลอกหลอนจนแยกได้ยากระหว่างความหลอนกับความเป็นจริง ยิ่งพอมันไม่ได้มีตัวตนที่ชัดเจน ก็เลยทำให้คนดูได้เห็นสกายที่มีปัญหาส่วนตัว แต่อีกด้าน เราก็ได้เห็นเธอในภาพของคนดังที่อยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นคนบ้า และที่โหดร้ายที่สุดก็คือ ไม่มีใครที่เข้าใจเธอจริง ๆ เลยแม้แต่คนเดียว

Smile 2 Photo Courtesy of Paramount Pictures 2024

ด้วยงานสร้างที่ใหญ่โตอลังการขึ้น แน่นอนว่าเราก็จะได้เห็นจังหวะการยิ้มหลอนหลอกที่โหดร้ายมากขึ้น มีเหลี่ยมมีคม พิถีพิถันมากขึ้น มีบรรยากาศและบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจมากขึ้น มีสถานการณ์และจังหวะจะโคนล่อหลอกคนดูแบบไม่ทันตั้งตัว มีการใช้งานด้านภาพเพื่อหาจังหวะหลอกจริง ๆ และหลอกแบบหยอก ๆ การเล่นกับเส้นเรื่องและงานภาพที่ทำให้ความเป็นจริงดูเหมือนภาพหลอน และภาพหลอนดูเหมือนความเป็นจริง มี Jump Scare ที่ไม่ได้ใส่มาเพื่อตุ้งแช่อย่างเดียว ซึ่งนับว่าตัวหนังยังทำออกมาได้แม่นยำและสยองบ้าคลั่งถึงอกถึงใจ แม้จะมีลูกเล่นบางอย่างที่มีแอบซ้ำทางสยองแบบภาคแรก และลูกเล่นทางสยองแบบอาร์ตเฮาส์จ๋า ๆ ที่แอบเชยไปหน่อยกับหนังสยองขวัญ พ.ศ. นี้ แต่ถ้าใครชอบความบันเทิงหลอน ๆ แบบภาคแรกก็เรียกได้ว่าเกินคุ้ม

แต่พอเข้าใจได้ว่า Smile Entity มันถูกบัฟพลังมาเต็มหลอดแบบจนไม่รู้จะรับมือหรือป้องกันยังไง โครงสร้างวิธีการหลอกหลอน โดยเฉพาะองก์ที่ 2 และ 3 รวมทั้งเส้นเรื่องและบทสรุปก็เลยแอบมีความซ้ำทางกับภาคแรกประมาณหนึ่ง และพอยิ่งตัดพาร์ตการสืบสวนแบบภาคแรกออกไป ภาคนี้เราก็เลยไม่ได้เห็นนางเอกที่พยายามออกตามหาความจริง พยายามคิดหาทางต่อกรกับสภาวะเหนือธรรมชาติ หรือดูจะมีทางพยายามทำลายห่วงโซ่ยิ้มหลอนและความรู้สึกผิดในอดีตให้สิ้นซาก ทั้งเรื่องเราเลยได้เห็นนางเอกในสถานะเหยื่อจิตหลุดที่โดนยิ้มหลอน แถมยังโดนวงการบันเทิงกับความผิดในอดีตมะรุมมะตุ้ม ฉีกทึ้งซ้ำใส่รัว ๆ จนต้องร้อง ‘ขอยอมแพ้ ขอชดใช้จนกว่าจะตุย’ มากกว่า แถมวิธีการต่อสู้ในภาคนี้ ที่แม้ว่าจะฟังดูมีหลักมีการ แต่มันฟังดูไม่เมกเซนส์จนไม่ชวนให้ซื้อด้วยเช่นเดียวกัน

Smile 2 Photo Courtesy of Paramount Pictures 2024

ในพาร์ตการแสดง แน่นอนว่าคนที่แบกเรื่องนี้และเอาอยู่แบบไม่มีข้อกังขา ก็คงต้องยกให้กับนาโอมิ สก็อตต์ ที่เรียกได้ว่างัดพลังการแสดงของเธอออกมาได้อย่างเหมาะเจาะและไม่ธรรมดาทีเดียว ตั้งแต่ความสามารถแบบเบาะ ๆ ทั้งการร้อง เต้น เล่นดนตรี รวมทั้งการระเบิดฟอร์มการแสดงแนวสยองขวัญหลอนแตกที่ทำได้ทรงพลังตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่ต้องแปลกใจเลยหากต่อจากนี้เธอจะกลายเป็น Scream Queen อีกคนของฮอลลีวูด อีกคนที่นับว่าเป็นไฮไลต์ของภาคนี้และไวรัลตั้งแต่หนังยังไม่ฉายก็คือ เรย์ นิโคลสันทายาทของ แจ็ก นิโคลสัน (Jack Nicholson) ยิ้มสยองรุ่นแรกจาก ‘The Shining’ (1980) ที่แม้ว่าจะมาปรากฏตัวไม่เยอะ แต่ไอ้ยิ้มหลอน ๆ ของพี่เขานี่คือแบบ…ขอหนังสยองให้พี่เขาอีกเรื่องเถอะนะ

คือแน่นอนแหละว่าหลายคนคิดว่าเนื้อเรื่องมันสรุปจบได้ค่อนข้างดีแล้วในภาคแรก แต่การกลับมาของยิ้มสยองในครั้งนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาที่น่าสนใจ และดูมีที่ทางที่พร้อมจะขยายเป็นจักรวาลหนังได้สบาย ๆ (ดีไม่ดี ภาค 3 มันอาจจะกลายเป็น Smile Entity ยิ้มหลอนแตกยกเมืองอะไรแบบนี้ก็ได้นะ 55) จากหนังสยองขวัญจิตวิทยากลิ่นอายสืบสวนในภาคแรก ภาคนี้มันถูกยกระดับให้กลายเป็น Psychological Horror แบบเต็มตัว เรื่องราวและทางสยองมันอาจจะมีแอบซ้ำกับภาคแรกจนแอบจับทางบางอย่างได้บ้าง แต่ภาคนี้ทีมงานก็ถือว่านำสิ่งที่ตัวเองทำเอาไว้ได้อย่างถนัดมาต่อยอดได้แพรวพราวยิ่งกว่าเดิม ถ้าโจทย์ของคุณคือต้องการความบันเทิงหลอนแตกวิปลาศยิ้มหลอนนอนไม่หลับ หลอกแล้วหลอกอีก ชนิดที่เดินออกจากโรงแล้วมือสั่นเพราะเห็นคนยิ้มท่าทางแปลก ๆ ก็เรียกได้ว่าโดนเส้นอยู่นะครับ


Smile 2 Photo Courtesy of Paramount Pictures 2024