หลังจากที่ ‘Oppenheimer’ (2023) ผลงานหนังดราม่าชีวประวัติ ผลงานกำกับลำดับที่ 12 ของเสด็จพ่อ เซอร์ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) และการร่วมงานกันครั้งแรกของเขากับสตูดิโอ Universal Pictures สามารถสร้างปรากฏการณ์แห่งปีได้อย่างถล่มทลาย ตั้งแต่การทำสถิติรั้งอันดับที่ 3 ของหนังเรต R ที่ทำรายได้สูงที่สุดตลอดกาลด้วยตัวเลข 977 ล้านเหรียญ รวมทั้งยังสามารถคว้ารางวัลจากเวทีต่าง ๆ ได้มากมาย ทั้ง 5 รางวัลลูกโลกทองคำ รวมทั้งเวทีออสการ์ที่สามารถคว้ารางวัลไปได้ 7 รางวัล รวมทั้งรางวัลใหญ่ อย่างรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมตัวแรกในชีวิตของโนแลน

ล่าสุด Variety ได้รายงานว่า Warner Bros. เองมีความพยายามจะดึงให้โนแลนกลับบ้านเก่ามาร่วมงานกันอีกครั้ง โดยมีการเปิดเผยข้อมูลออกมาว่า แอน ซาร์นอฟฟ์ (Ann Sarnoff) อดีต CEO ของ Warner Bros. Entertainment และ โทบี เอ็มเมอริช (Toby Emmerich) ประธานของ Warner Bros. Pictures ได้ยินยอมให้นำ ‘Tenet’ เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ช่วงโรคระบาด โดยมีเงื่อนไขว่า โนแลนจะต้องเสียค่าธรรมเนียมจำนวนหนึ่ง

แต่หลังจากที่ WarnerMedia ได้ควบรวมกิจการเข้ากับบริษัท Discovery และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Warner Bros. Discovery และมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร รวมทั้งการเปลี่ยนรื้อนโยบายขององค์กรแบบยกเครื่อง ไมเคิล เดอ ลูกา (Michael De Luca) และ พาเมลา แอบดี (Pamela Abdy) ประธานบริหารร่วมและ CEO ของ Warner Bros. Pictures ที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ ได้มีความพยายามที่จะนำโนแลนที่ย้ายไปร่วมงานกับ Universal ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้ามารับตำแหน่ง 9 เดือน ให้กลับมาร่วมงานกับสตูดิโออีกครั้ง

สิ่งที่ทั้งเดอลูกา และแอบดีทำก็คือ ได้มีการสั่งจ่ายเช็คที่มีมูลค่า 7 หลัก ซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมที่เขาเคยจ่ายเพื่อให้ ‘Tenet’ ได้เข้าฉายในโรงหนังตามปกติคืนแก่โนแลน เพื่อหวังจะดึงให้เขากลับมาร่วมงานกับ Warner Bros. อีกครั้ง แต่ทว่าเม็ดเงิน 7 หลักก็ไม่อาจพาให้โนแลนกลับคืนสู่เหย้าได้สำเร็จ

Kenneth Branagh, Christopher Nolan, John David Washington Tenet

แผนนี้ไม่ได้ผลสำหรับชายคนหนึ่งที่แม้ว่าจะประสบความสำเร็จในระดับออสการ์ แต่เขาก็ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ในฮอลลีวูดฮิลล์ และขับรถยนต์ Honda อายุ 20 ปี และในที่สุด โนแลนและเอ็มมา โธมัส (Emma Thomas) ภรรยา โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทโปรดักชัน Syncopy ก็นำโปรเจกต์หนังเรื่องต่อไปของเขาเข้าไปเจรจากับ ดอนนา แลงลีย์ (Donna Langley) ประธานของ Universal เช่นเดิม

โปรเจกต์ใหม่ที่ว่านี้ โนแลนกำลังอยู่ในขั้นตอนการเขียนบท โดยจะเป็นหนังที่ยังคงถ่ายทำเพื่อฉายในระบบ IMAX และวางตัวให้ แมตต์ เดมอน (Matt Damon) ที่เคยร่วมงานกับโนแลนมาแล้วทั้งใน ‘Interstellar’ (2014) และ ‘Oppenheimer’ มารับบทนำในหนังของโนแลนเป็นครั้งแรก โดยในขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยไตเติลและเนื้อเรื่องอย่างเป็นทางการ และยังคงได้ Universal Pictures รับหน้าที่จัดจำหน่าย และวางโปรแกรมฉายในวันที่ 17 กรกฎาคม ปี 2026

สตีเฟน กัลโลเวย์ (Stephen Galloway) คณบดีของวิทยาลัย Dodge College of Film and Media Arts แห่งมหาวิทยาลัยแชปแมนได้ขยายความถึงการตัดสินใจของโนแลนว่า “สิ่งที่สำคัญสำหรับโนแลนก็คือ คุณจะนำหนังเรื่องนี้ออกฉายอย่างถูกต้องได้หรือไม่ คุณจะมีกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมแล้วหรือยัง หนังจะได้เข้าฉายใน IMAX หรือไม่ คุณจะปล่อยให้เขาได้ทำหนังในแบบที่เขาอยากจะทำได้หรือเปล่า เขารู้ว่าเขาจะได้ทุกอย่างนี้ที่ Universal แล้วทำไมเขาถึงจะไม่ไปที่ Universal ล่ะ ?”

โนแลนเคยผูกปิ่นโตร่วมงานกับ Warner Bros. มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ผลงานหนังใหญ่เรื่องที่ 2 ในชีวิตของเขาอย่าง ‘Insomnia’ (2002), ก่อนจะประสบความสำเร็จอย่างสูงกับไตรภาค ‘The Dark Knight’ รวมทั้ง ‘Inception’ (2010), ‘Interstellar’ (2014), ‘Dunkirk’ (2017) รวมทั้งการเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับ ‘Man of Steel’ (2013) ซึ่งถือเป็นหนังที่เปิดฉากจักรวาล DCEU อย่างเป็นทางการ

แต่หลังจากการร่วมงานครั้งสุดท้ายในหนังสายลับจารกรรมพล็อตล้ำ ‘Tenet’ (2020) ด้วยนโยบายของ WarnerMedia ที่ต้องการนำ ‘Tenet’ และหนังใหม่หลาย ๆ เรื่องเข้าฉายในโรงพร้อมกับแพลตฟอร์มสตรีมมิง HBO Max (หรือ Max ในปัจจุบัน) เพื่อทำกลยุทธ์ธุรกิจในช่วงโรคระบาด ซึ่งสวนทางกับวิสัยทัศน์ของโนแลนที่ต้องการจะให้ Tenet เป็นหนังที่ดึงคนกลับมาดูจอใหญ่ในโรงหนังอีกครั้งหลังจากล็อกดาวน์ไปนาน จึงไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ ก่อนจะตัดสินใจแยกทางเดิน และนำโปรเจกต์ ‘Oppenheimer’ ไปให้ Universal Pictures จัดจำหน่ายแทน

ปี 2023 เดอลูกาและแอบดี เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Variety โดยส่วนหนึ่งทั้งคู่ได้เปิดเผยแผนกลยุทธ์ที่พวกเขากำลังดำเนินการหลังจากการควบรวมกิจการ ซึ่งนอกจากการกลับมาให้ความสำคัญกับหนังฉายโรงเป็นอันดับแรกแล้ว สิ่งที่ทั้งคู่ทำก็คือการพยายามกลับมาสานสัมพันธ์กับผู้กำกับภาพยนตร์ระดับ A-List อีกครั้ง รวมทั้งยังเปิดเผยแหล่งข่าว 2 แหล่งที่ใกล้ชิดกับโนแลนว่า โนแลนยังคงได้รับเช็คส่วนแบ่งจากรายได้หนัง ‘Tenet’ จาก Warner Bros. จำนวนเงิน 7 หลักมานาน 8 เดือน

การเข้าหาโนแลนของ Warner Bros. นั้นบ่งบอกถึงสถานะพิเศษของเขาในฮอลลีวูด ซึ่งโนแลนได้กลายมาเป็นแม่แบบให้กับผู้กำกับรุ่นใหม่ ๆ ที่สามารถดึงดูดผู้ชมเข้าโรงหนังและสามารถคว้ารางวัลออสการ์ได้ และแท้ที่จริงแล้ว โนแลนเป็น 1 ในผู้กำกับมีชื่อเสียงที่กำลังจะไปสู่จุดที่กำลังจะค่อย ๆ วางมือในอนาคต ซึ่งรวมไปถึง เควนทิน ทารันทิโน (Quentin Tarantino) และเจมส์ คาเมรอน (James Cameron) ซึ่งผู้กำกับรุ่นใหญ่อย่างสตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) และมาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ก็เคยอยู่ในสถานะนี้เช่นเดียวกัน

จริงอยู่ที่หนังของสปีลเบิร์กและสกอร์เซซีจะยังเป็นหนังที่ได้รับงบประมาณในการผลิตที่ค่อนข้างสูง แต่หนังของพวกเขากลับทำรายได้ Box Office น้อยลง ทั้งหนังรีเมก ‘West Side Story’ (2021) ที่ใช้ทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ แต่กลับทำรายได้ทั่วโลกเพียง 76 ล้านเหรียญ ในขณะที่ ‘Killers of the Flower Moon’ (2023) ของสกอร์เซซี ทำรายได้ทั่วโลกเพียง 159 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างที่สูงถึง 215 ล้านเหรียญ

ผู้กำกับรุ่นใหม่ที่มีความสามารถในระดับที่ใกล้เคียงกัน และมีสไตล์ที่โดดเด่นจึงมีเหลืออยู่ไม่มากนัก ทั้ง เกรตา เกอร์วิก (Greta Gerwig) ที่ประสบความสำเร็จจาก ‘Barbie’ (2023) ที่ทำรายได้ไปถึง 1,450 ล้านเหรียญ และ ไรอัน คูเกลอร์ (Ryan Coogler) ผู้กำกับ ‘Black Panther’ (2018) ที่ทำรายได้ทั่วโลก 1,350 ล้านเหรียญ แต่ก็มีข้อสังเกตตรงที่ทั้งคู่ทำหนังจากทรัพย์สินทางปัญญาที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว

Cillian Murphy Christopher Nolan Hoyte Van Hoytema Oppenheimer

ฉะนั้น การที่โนแลนสามารถทำให้งานออริจินัลเรต R ความยาว 3 ชั่วโมงที่เล่าเรื่องของบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ดูไม่มีวี่แววว่าจะทำเงินในฮอลลีวูดอย่าง ‘Oppenheimer’ ให้ประสบความสำเร็จได้จึงถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ดังที่ เจฟฟ์ บ็อก (Jeff Bock) นักวิเคราะห์ด้านธุรกิจบันเทิงและ Box Office จากบริษัท Exhibitor Relations ได้พยายามอธิบายว่า ชื่อของโนแลนนั้นมีสถานะกลายเป็น ‘แบรนด์’ ไปแล้ว

“ชื่อของ คริสโตเฟอร์ โนแลน คือทรัพย์สินทางปัญญาด้วยตัวมันเอง มีผู้กำกับเพียงไม่กี่คนที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปของยุคนี้ และเขาก็อยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายชื่อนั้น”

หนังเรื่องต่อไปที่โนแลนทำให้กับ Universal ยังคงเป็นปริศนา และไม่ใช่งานรีเมกซีรีส์จากรรม ‘The Prisoner’ (1967–1968) ของอังกฤษยุค 60s ตามที่เคยมีข่าวลือ แหล่งข่าวระบุว่าผลงานล่าสุดของโนแลนไม่ใช่หนังมหากาพย์ไซไฟ และมีการคาดเดาว่าอาจเป็นหนังแนวสายลับ ซึ่งตรงกับกระแสข่าวช่วงหนึ่งที่โนแลนเองเคยแสดงความสนใจอยากกำกับหนัง James Bond จนกระทั่งแฟรนไชส์นี้ยังอยู่ในสถานะชะงักงันจากการค้นหานักแสดงผู้รับบทสายลับ 007 คนต่อไป

นอกจากนี้ โนแลนไม่ใช่เพียงแค่ผู้กำกับธรรมดา เพราะนอกจากเขาจะเป็นผู้กำกับที่มีเครดิตเคยกำกับหนังที่ทำรายได้หลักพันล้านเหรียญจาก ‘The Dark Knight’ (2008) และ ‘The Dark Knight Rises’ (2012) แล้ว เขายังเป็นผู้กำกับที่ถูกเรียกว่า Final-Cut Director หรือผู้กำกับที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ‘ขั้นสุดท้าย’ ในการตัดต่อภาพยนตร์โดยไม่ต้องแก้ไขตามคำสั่งของสตูดิโอ ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่หาได้ยากในวงการภาพยนตร์ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ บาร์บารา บร็อกโคลี (Barbara Broccoli) โปรดิวเซอร์ผู้ดูแลแฟรนไชส์ James Bond อาจไม่เห็นด้วย

กัลโลเวย์กล่าวทิ้งท้ายว่า “เขาไม่ใช่ผู้กำกับทั่ว ๆ ไปที่บังเอิญได้กำกับ ‘Look Who’s Talking’ ภาค 38 หรือ ‘Sharknado’ แต่นี่คือคริสโตเฟอร์ โนแลน”