คนอายุมากหน่อยจะรู้จัก เมล กิบสัน (Mel Gibson) พระเอกรุ่นใหญ่วัย 68 ปีในฐานะนักแสดง ไม่ว่าจะเป็นการรับบทเป็น แม็ก ร็อกคาแทนสกี จากไตรภาคต้นฉบับ ‘Mad Max‘ รวมทั้งบทบาทการแสดงของเขาในหนังดัง ๆ อีกมากมายหลายเรื่องอาทิ ‘Lethal Weapon’ (1987), ‘Braveheart’ (1995) และ ‘The Patriot’ (2000) ฯลฯ แต่คนยุคใหม่ ๆ อาจจะไม่ค่อยได้เห็นเขาในฐานะนักแสดงมากนัก เพราะนอกจากข่าวอื้อฉาวที่ทำให้เขาหายหน้าหายตาไปจากฮอลลีวูด
นอกจากนี้เขาเองก็ยังมีบทบาทในฐานะคนเบื้องหลัง ทั้งในฐานะโปรดิวเซอร์และผู้กำกับที่มีผลงานยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน กิบสันร่วมแสดงนำและกำกับหนังดราม่า ‘The Man Without a Face’ (1993) เป็นเรื่องแรก และโด่งดังอีกครั้งตอนที่เขาแสดงนำและกำกับ ‘Braveheart’ ที่สามารถคว้ารางวัลออสการ์ถึง 5 สาขา รวมทั้งรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมของกิบสัน รวมทั้งหนังประเด็นศาสนา ‘The Passion of the Christ’ (2004), หนังดราม่าอารยธรรมโบราณ ‘Apocalypto’ (2006) รวมทั้งหนังสงคราม ‘Hacksaw Ridge’ (2016)
และหลังจากห่างหายจากการกำกับไปเกือบ ๆ ทศวรรษ กิบสันกลับมาพร้อมกับงานการกำกับเรื่องล่าสุดใน ‘Flight Risk’ หนังแอ็กชันทริลเลอร์ของ Lionsgate Studios ที่เขาจะกลับมาแสดงนำร่วมกับ มาร์ก วอห์ลเบิร์ก (Mark Wahlberg) ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน ‘Daddy’s Home 2’ (2017) โดยจะเข้าฉายในวันที่ 24 มกราคม ปี 2025
แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ (Andrew Garfield) นักแสดงหนุ่มที่เคยร่วมงานกับกิบสันใน ‘Hacksaw Ridge’ ได้มีโอกาสเล่าความประทับใจของเขาจากการร่วมงานกับกิบสัน ในบทความของนิตยสาร People ฉบับล่าสุด โดยเขาได้พูดถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากการทำงานร่วมกับนักแสดงและผู้กำกับเจ้าของรางวัลออสการ์ ซึ่งเป็นตัวตนอีกด้านของกิบสันที่เคยมีปัญหาด้านพฤติกรรมหลายครั้ง จนถูกฮอลลีวูดแบนมาจนถึงปัจจุบัน
“ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายจริง ๆ ครับ ผมได้เรียนรู้ว่า ผู้คนสามารถเยียวยาตัวเองได้ ผมได้เรียนรู้ว่าผู้คนสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ สามารถขอความช่วยเหลือได้ ผมได้เรียนรู้ว่า ทุก ๆ คนสมควรที่จะได้รับความเคารพ และสมควรที่จะได้รับโอกาสครั้งที่ 2, ครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 เพราะว่าไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ”
การ์ฟิลด์ร่วมงานกับกิบสันใน ‘Hacksaw Ridge’ ด้วยการรับบทเป็นพลทหารเดสมอนด์ ดอสส์ พลทหารหน่วยแพทย์อาสาในสมรภูมิโอกินาวาช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และปฏิเสธไม่ยอมพกและใช้ปืนในระหว่างสงครามเลยแม้แต่ครั้งเดียว รวมทั้งการปฏิเสธที่จะสังหารฝ่ายตรงข้าม เพราะนับถือศาสนาคริสต์นิกายเซเวนท์เดย์แอดเวนทิสต์ (Seventh-day Adventist) ที่เชื่อว่าการคร่าชีวิตผู้อื่นเป็นบาปหนัก จนทำให้เขาได้รับเหรียญเกียรติยศในปี 1945 จากคุณงามความดีของเขาที่สามารถช่วยผู้คนได้มากมายโดยไม่จำเป็นต้องจับอาวุธคร่าชีวิตผู้ใด
หนังเรื่องนี้ได้รับคำวิจารณ์เชิงบวก ทำรายได้ทั่วโลก 180 ล้านเหรียญจากทุนสร้าง 40 ล้านเหรียญ รวมทั้งยังสามารถคว้ารางวัลออสการ์ด้านงานเบื้องหลังไป 2 รางวัล จากการเข้าชิง 6 รางวัล รวมทั้งกิบสันที่ได้เข้าชิงรางวัลในสาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมอีกครั้ง และการ์ฟิลด์ก็ได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน
กิบสันเป็นนักแสดงที่มีปัญหาอื้อฉาวมากมาย กลุ่มพันธมิตรเพื่อการต่อต้านการหมิ่นประมาทเกย์และเลสเบียน (Gay & Lesbian Alliance Against Defamation – GLAAD) ได้ออกมาเรียกร้องให้กิบสันขอโทษในกรณีที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ดูหมิ่นคนรักร่วมเพศในหนังสือพิมพ์ El País ของสเปนเมื่อเดือนธันวาคม ปี จนกระทั่งในปี 1995 เขาได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Playboy ว่าเขาจะไม่มีวันขอโทษในเรื่องนี้เป็นอันขาด ก่อนที่ในปี 1999 กิบสันได้ออกมาพูดถึงประเด็นนี้โดยอ้างว่า “ผมไม่ควรจะพูดแบบนั้น แต่เป็นเพราะตอนสัมภาษณ์ผมดื่มวอดกาไปนิดหน่อย และคำพูดนั้นก็ย้อนกลับมาเล่นงานผมอย่างหนัก”
28 กรกฎาคม 2006 กิบสันผู้มีประวัติอาการติดสุราเรื้อรัง ตกเป็นข่าวอื้อฉาว หลังจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจของเมืองลอสแองเจลิสจับกุมเขาในถนนมาลิบูในข้อหาเมาแล้วขับ ร่างกายของเขามีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเกินกว่าที่กฏหมายกำหนด เพราะยังมีขวดเตกิลาที่เปิดอยู่ในรถ แต่ที่อื้อฉาวยิ่งกว่าก็คือ กิบสันที่ยังอยู่ในสภาพเมามายและถูกจับใส่กุญแจมือได้ระเบิดอารมณ์ด้วยการตะโกนด่าทอผู้หญิงและชาวยิว เจ้าหน้าที่ตำรวจบันทึกเสียงคำด่าทอส่วนหนึ่งของเขาเอาไว้ว่า “…ไอ้พวกเ-ี้ยยิว ! พวกยิว มึ-ต้องรับผิดชอบกับสงครามทั้งหมดในโลกนี้! พวกมึ-เป็นคนยิวหรือเปล่า ? …”
ซึ่งภายหลังตัวแทนของกิบสันได้ออกจดหมายแถลงการณ์ขอโทษต่อพฤติกรรมที่เขาทำต่อชาวยิว เขาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ยอมรับในการกระทำ และขอโทษสำหรับพฤติกรรมที่น่ารังเกียจของเขาโดยไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ก่อนจะเข้ารับการบำบัดโรคพิษสุราเรื้อรังในเวลาต่อมา
พฤติกรรมในอดีตของกิบสันเริ่มถูกขุดออกมาอีก วิโนนา ไรเดอร์ (Winona Ryder) ได้ออกมาให้สัมภาษณ์แฉพฤติกรรมของกิบสันที่เคยพูดจาดูหมิ่นเธอที่เป็นชาวยิวโดยใช้คำเรียกว่าเป็น ‘คนรอดจากเตาอบ’ โดยกล่าวอ้างถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของกองทัพนาซี และดูหมิ่นเพื่อนที่เป็นเกย์ของเธอด้วยการพูดว่า ถ้าเขาพูดคุยด้วยจะติดโรคเอดส์หรือไม่ ซึ่งภายหลัง ตัวแทนของกิบสันได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหา
นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า อ็อกซานา กรีกอรีวา (Oksana Grigorieva) นักประพันธ์เพลงและนักเปียโนชาวสเปน อดีตภรรยาที่เคยมีลูกสาวด้วยกัน 1 คนและแยกทางกันในปี 2010 ได้กล่าวหาว่ากิบสันเคยพูดจาข่มขู่และทำร้ายร่างกายเธอ ก่อนจะมีคลิปบันทึกเสียงที่ถูกปล่อยออกมาทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีถ้อยความที่กิบสันข่มขู่เธอว่า “มึ-มันอีนั-ดอ-ทอ-ร่า-ไปทั่ว และถ้ามี-โดนไอ้มืดรุมข่-ขืน มันก็เป็นความผิดของมึ-เองทั้งนั้น” ภายหลังคดีความถูกยกฟ้อง หลังจากที่กิบสันสารภาพว่าได้ก่อเหตุความรุนแรงจริงโดยไร้ข้อโต้แย้ง
ด้วยพฤติกรรมฉาวทั้งหลาย ทำให้กิบสันถูกกาหัวจากฮอลลีวูด แม้จะยังคงมีการแสดงในหนังฟอร์มเล็กและปานกลาง รวมถึงงานกำกับและโปรดิวเซอร์ จะมีก็แต่โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.) ที่ออกมาเรียกร้องให้ฮอลลีวูดให้อภัยเขา เนื่องจากกิบสันเคยช่วยเหลือและเป็นผู้รับรองพฤติกรรมให้ดาวนีย์ จูเนียร์ ที่เคยมีประวัติเสื่อมเสียให้กลับมามีผลงานการแสดงอีกครั้ง จนทำให้ดาวนีย์ จูเนียร์ได้กลับมายืนหยัดในวงการได้อย่างสง่างาม
ในปี 2016 กิบสันได้ให้สัมภาษณ์เปิดใจในพอดแคสต์ Playback ของ Variety โดยเขาได้กล่าวถึงเหตุการณ์เมาแล้วขับ รวมทั้งขอให้ฮอลลีวูดเปิดใจให้กับเขาที่ได้กล่าวขอโทษต่อเหตุการณ์เหล่านั้นไปแล้ว
“มันเป็นเหตุการณ์ที่โชคร้าย ผมทั้งเมา ทั้งโกรธ แล้วก็ถูกจับกุม ผมถูกบันทึกเสียงอย่างผิดกฏหมายโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ซื่อสัตย์ และไม่เคยถูกดำเนินคดีในข้อหานั้น และจากนั้นเสียงก็ถูกนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะเพื่อผลประโยชน์ทางการเงินของเขากับสื่อ ดังนั้น มันจึงไม่ยุติธรรมเลย ผมคงไม่ได้รับอนุญาตให้มีช่วงเวลาที่จิตใจแตกสลาย…”
“มันผ่านเวลามาเป็น 10 ปี ผมรู้สึกดี ผมเลิกเหล้าแล้ว และเรื่องนั้นมันก็เป็นแค่เงาจาง ๆ ในอดีตสำหรับผมเท่านั้น แต่คนอื่นก็ยังคงหยิบยกมาพูดถึง ซึ่งผมว่ามันน่ารำคาญ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมันยังเป็นประเด็นอยู่หลังจาก 10 ปีมาแล้ว…”
ในบทสัมภาษณ์เดียวกัน การ์ฟิลด์ นักแสดงผู้เปิดเผยตนเองว่าเป็นชาวยิว ยังได้เปิดเผยว่า ระหว่างการร่วมงานกับกิบสันใน ‘Hacksaw Ridge’ เขาเองได้มีโอกาสสนทนากับกิบสัน ผู้ที่ตกเป็นข่าวจากการเกลียดชังและดูหมิ่นชาวยิวอย่างลึกซึ้ง และสัมผัสได้ถึงตัวตนอีกด้านอย่างที่หลายคนอาจจะนึกไม่ถึง
“ที่ผ่านมา เขาได้ทำการเยียวยาตัวเองอย่างสวยงามมามากมาย และก็ขอบคุณพระเจ้า เพราะเขาเป็นผู้กำกับที่น่าทึ่งจริง ๆ และผมเองก็คิดว่า เขาสมควรที่จะได้สร้างภาพยนตร์ต่อไป เขาสมควรที่จะได้เล่าเรื่องราว เพราะเขามีหัวใจที่ยิ่งใหญ่และเปี่ยมไปด้วยความเมตตา”
“เขาเป็นผู้กำกับในแบบที่ เขาจะเดินออกมาจากหลังจอมอนิเตอร์ด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า เขาเป็นคนที่รู้ว่าตอนไหนที่ถูกต้อง และตอนไหนที่ไม่ถูกต้อง และผมก็เชื่อใจเขาจริง ๆ เขาเป็นนักเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง ดังนั้นเขาจึงสามารถรู้สึกได้ ราวกับว่าเขาไม่สามารถหยุดยั้งที่จะรู้สึกในทุกสิ่งทุกอย่างได้ เขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริง”