หลังจากที่ อัล ปาชิโน (Al Pacino) นักแสดงรุ่นใหญ่วัย 84 กะรัต มีผลงานอยู่ในมือมากมาย โดยเฉพาะในช่วงปลายยุค 70s จนถึงช่วงยุค 90s อาทิ ‘The Godfather’ (1972), ‘The Godfather Part II’ (1974) และ ‘The Godfather Part III’ (1990) รวมทั้งบทบาทของเขาใน ‘Serpico’ (1973), ‘Dog Day Afternoon’ (1975), ‘Scarface’ (1983) รวมทั้งการคว้ารางวัลออสการ์จาก ‘Scent of a Woman’ (1992) นอกจากนี้ก็ยังมี ‘Heat’ (1995), ‘Donnie Brasco’ (1997) และ ‘The Devil’s Advocate’ (1997) ที่เขาร่วมแสดงกับ คีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves)

จนกระทั่งเข้าสู่ยุค 2000 ปาชิโนเองก็ไม่ต่างจากนักแสดงรุ่นใหญ่ที่บางครั้งก็มีงานที่ประสบความล้มเหลวบ้าง แต่ด้วยชื่อชั้นนักแสดงรุ่นใหญ่ หลาย ๆ งานในยุคนี้ของเขาก็ยังมีความน่าสนใจไม่น้อย อาทิ ‘Insomnia’ (2002) หนังทริลเลอร์จิตวิทยา หนังยาวเรื่องที่ 2 ในชีวิตของ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ที่เขาประชันบทบาทกับ โรบิน วิลเลียมส์ (Robin Williams) ในมาดวายร้าย การรับบทเป็นเจ้าพ่อกาสิโนในหนังจารกรรม ‘Ocean’s Thirteen’ (2007) รวมทั้งการรับบทใน ‘Danny Collins’ (2015) ฯลฯ

และแน่นอนว่าอีกผลงานหนึ่งของเขาที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ การปรากฏตัวในหนัง ‘Once Upon a Time in Hollywood’ (2019) ภาพยนตร์ชำระประวัติศาสตร์ฮอลลีวูดสุดระห่ำในสไตล์ เควนทิน ทารันทิโน (Quentin Tarantino) ที่เขาได้ร่วมงานกับ ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio) เจ้าของบทบาท ริก ดาลตัน และ แบรด พิตต์ (Brad Pitt) ผู้รับบทเป็น คลิฟฟ์ บูธ ซึ่งเขาได้เล่าเบื้องหลังการแสดงของเขาเอาไว้ในหนังสือบันทึกความทรงจำเล่มใหม่ ‘Sonny Boy’

Al Pacino Brad Pitt Leonardo DiCaprio Once Upon a Time in Hollywood

ปาชิโน นักแสดงผู้ได้รับบทเป็น มาร์วิน ชวาร์ตซ์ ตัวแทนจัดหางาน (Talent Agent) ของศิลปินดารา ได้เล่าเกร็ดเบื้องหลังเล็ก ๆ ในหนังเรื่องนี้ ซึ่งแม้ว่าบทนี้จะเป็นบทสมทบที่โผล่มาเฉพาะในองก์แรก แต่ปาชิโนได้เล่าเอาไว้ว่า แต่เดิมแล้วฉากนี้ของเขามีบทที่ยาวมากถึง 21 หน้า และเขาเองก็ซุ่มซ้อมการแสดงในฉากนี้มาเป็นอย่างดี แต่กลับถูกตัดไปใช้จริงในหนังแค่ 2 นาทีเท่านั้น

ฉากในองก์แรกของหนังฉากนี้เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1969 เป็นฉากที่ ริก ดาลตัน นักแสดงฮอลลีวูดยุคหนังคาวบอยที่กำลังเข้าสู่ช่วงตกอับ กับสตันต์แมนคู่หู คลิฟฟ์ บูธ ได้เดินทางมาเจอกับ มาร์วิน ชวาร์ตซ์ ตัวแทนของริกที่คลับแห่งหนึ่ง

มาร์วินได้แนะนำเขาหลังจากที่ริกได้แนะนำงานแสดงที่เขากำลังจะทำ ซึ่งมีแต่บทบาทตัวร้ายในละครโทรทัศน์ มาร์วินจึงได้ชี้แนะว่านี่คือสัญญาณของความตกต่ำในอาชีพนักแสดงรุ่นเก่าที่กำลังจะถูกนักแสดงหน้าใหม่เข้ามาแทนที่ มาร์วินจึงได้แนะนำให้เขาลองย้ายไปที่อิตาลีเพื่อรับงานแสดงแนวหนังสปาเกตตีคาวบอยแทน ปาชิโนเขียนเล่าถึงฉากนี้เอาไว้ว่า

“ผมได้มีชื่อเสียงในแบบที่ต่างออกไป มันไม่ได้มาจากงานที่ผมทำมากนัก แต่มาจากการเชื่อมโยงกับผู้คนต่าง ๆ และการปรากฏตัวในบางงาน รวมถึงการใช้ชีวิตในฮอลลีวูด ผมเองโชคดีที่ได้เล่นหนัง 3 เรื่องติดต่อกัน ซึ่งมันก็มีผลกระทบในแง่มุมต่าง ๆ ด้วย”

“เริ่มต้นจาก ‘Once Upon a Time in Hollywood’ ผมเองไม่ได้ค่าตัวจากหนังเรื่องนี้เยอะมากนัก แต่ผมได้ทำงานร่วมกับทั้ง เควนทิน ทารันทิโน, ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ แบรด พิตต์ และ มาร์โกต์ ร็อบบี (Margot Robbie) และผมเองก็ชอบบทนั้น นั่นคือเหตุผลที่ผมรับงานนี้ แต่ผมเองก็ถามกับทนายของผมด้วยเหมือนกันว่า ‘ผมจะทำอย่างไรถ้าผมไม่ได้รับค่าจ้าง ?'”

“ผมมีฉากในบทอยู่ 21 หน้า ที่ผมต้องซ้อมกับลีโอด้วยกัน ลีโอมีบทพูดเดี่ยวที่ทั้งก้อนเขาต้องพูดทุกอย่างที่จำเป็นเกี่ยวกับอุตสาหกรรมนี้ในปี 1969 และเขาก็แสดงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แต่หนังมันมีจังหวะของตัวเอง และหลังจากที่ทารันทิโนตัดต่อเสร็จ ฉากนั้นมันก็เหลืออยู่ 2 นาที ผมไม่ได้อยากจะตำหนิเขาหรอก เขาเองก็มีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้น”

อย่างที่ปาชิโนได้เขียนเอาไว้ว่า เขาเองไม่ได้เคืองทารันทิโนในประเด็นนี้ ตรงกันข้าม เขาเองกลับรู้สึกขอบคุณผู้กำกับชื่อดังที่ตัดสินในมอบโปรเจกต์สำคัญมากที่สุดชิ้นหนึ่งในช่วงบั้นปลายชีวิตของเขา ปาชิโนกล่าวว่า “ภาพยนตร์ของทารันทิโนเป็นหนังที่ยอดเยี่ยม และการที่ผมได้ร่วมแสดงในหนังเรื่องนั้น ก็ทำให้ผมได้รับชื่อเสียงมากกว่าที่เคยเป็นมา”

Al Pacino Brad Pitt Leonardo DiCaprio Once Upon a Time in Hollywood

ปาชิโนยังพูดถึงงานชิ้นสำคัญในฐานะนักแสดงรุ่นใหญ่ของเขา นั่นก็คือการรับบทเป็น จิมมี ฮอฟฟา (Jimmy Hoffa) ผู้นำสหภาพแรงงานที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมใน ‘The Irishman’ (2019) หนังมาเฟียแก๊งสเตอร์ในสไตล์ มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ที่นอกจากจะเป็นการร่วมงานกันอีกครั้งของเขากับ โรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert De Niro) ที่เคยร่วมงานกันใน ‘The Godfather Part II’ แล้ว ยังส่งให้เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายเป็นครั้งที่ 9

“และต่อมาก็คือ ‘The Irishman’ บ็อบ เดอ นีโร และสกอร์เซซีเข้ามาหาผมเมื่อหลายปีก่อน บอกเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำ และผมเองก็สนับสนุนอย่างเต็มที่ และในที่สุดมันก็กลายมาเป็นภาพยนตร์ ผมออกไปถ่ายทำและได้รับบทใหญ่…”

ปาชิโนบรรยายว่า ทั้ง ‘Once Upon a Time in Hollywood’ และ ‘The Irishman’ คือ 2 ผลงานสำคัญในช่วงปัจฉิมวัยของเขา เพราะเป็นผลงานที่ทำให้เขาได้มีโอกาสกลับมาทำงานกับผู้กำกับแถวหน้าอีกครั้ง หลังจากที่เขาได้เปิดเผยในหนังสือว่า ในวัยหลัก 7 เขาเองต้องยอมรับงานที่เขาไม่ได้อยากทำเพื่อแลกกับเงินก้อนใหญ่

ในขณะที่ก่อนหน้านี้เขามักจะรับบทที่ ‘มีความเกี่ยวพันกับบทบาทนั้น ๆ และรู้สึกว่าสามารถนำเสนออะไรบางอย่างได้’ และ ‘Once Upon a Time in Hollywood’ และ ‘The Irishman’ ก็คือ 2 ผลงานที่ทำให้เขาได้กลับมาทำงานตามแนวคิดนี้อีกครั้ง

“…ผมได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ ผมได้เข้าชิงกับแบรด พิตต์, โจ เพชชี (Joe Pesci), แอนโธนี ฮอปกินส์ (Anthony Hopkins) และ ทอม แฮงส์ (Tom Hanks) ผมไม่มีปัญหาเลยที่จะยอมรับสถานะผู้แพ้ในคืนนั้นท่ามกลางพวกเขา ตอนที่ผมได้รับการเสนอชื่อจาก ‘The Irishman’ ผมพาลูก ๆ ไปร่วมงานออสการ์ด้วย จะมีอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกล่ะ ?”