[รีวิว] Venom: The Last Dance – ปิดตำนานเพื่อนรักเขมือบโลก
Our score
6.7

Release Date

23/10/2024

แนว

แอ็กชัน, ซูเปอร์ฮีโร่

ความยาม

110 นาที

เรตผู้ชม

PG-13

ผู้กำกับ

เคลลี มาร์เซล

Our score
6.7

[รีวิว] Venom: The Last Dance – ปิดตำนานเพื่อนรักเขมือบโลก

จุดเด่น

  1. หนังเล่าเรื่องความสัมพันธ์ของคู่หูเอ็ดดี้ และเวน่อมได้ดี หากใครมาดูเพื่อสิ่งนี้ถือว่าตอบโจทย์
  2. หนังเปิดตัวนัลล์ได้สมกับเป็นบอสใหญ่ และคิดว่าจะมีผลต่อจักรวาลของ Sony อย่างแน่นอน
  3. ขนซิมบิโอตมาหมด ใครเป็นแฟนเจ้าเอเลี่ยนกลุ่มนี้ บอกเลยว่าบันเทิง

จุดสังเกต

  1. หนังให้ความสำคัญกับตัวละครที่เพิ่งปรากฏตัวใหม่มากมาย จนไม่เข้าใจว่าจะใส่มาทำไม
  2. ยังคงมีปัญหาเรื่องบท ที่ขนาดดูเพลิน ๆ ก็ยังหงุดหงิด
  3. ปิดฉากเรื่องราวของคู่หูคู่นี้ ที่ดูไม่สมศักดิ์ศรีเท่าไหร่
  • คุณภาพด้านการแสดง

    7.5

  • คุณภาพโปรดักชัน

    7.0

  • คุณภาพของบทภาพยนตร์

    5.0

  • ความบันเทิง

    7.0

  • ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม

    7.0

เคยเจอใครสักคนที่เพิ่งรู้จักไม่นาน แต่เขากลับเข้ามาเปลี่ยนชีวิตเราตลอดกาลบ้างไหม 

นี่คงเป็นความรู้สึกของเอ็ดดี้ บร็อกกับเจ้าเวน่อมที่แปรเปลี่ยนความสัมพันธ์จากโฮสต์และปรสิต มาเป็นคู่หูผู้พิทักษ์โลก ซึ่งพวกเขาไม่คิดไม่ฝันว่าชีวิตจะต้องมาเจอกับอีกบุคลิกที่ยุ่งเหยิงเช่นนี้

‘Venom: The Last Dance’ ถือเป็นการกลับมาวาดลวดลายอีกครั้งของทอม ฮาร์ดี (Tom Hardy) ที่คราวนี้เขาพ่วงตำแหน่งผู้เขียนบท เพื่อหมายมั่นว่ามันจะเป็น Venom ภาคที่ดีที่สุด ให้สมกับที่ตนเคลมไว้ว่า คราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของเขากับเจ้าซิมบิโอตสีดำตนนี้ 

เรื่องราวของ ‘Venom: The Last Dance’ ดำเนินเรื่องหลังจาก ‘Venom: Let There Be Carnage’ และ ‘Spider-Man: No Way Home’ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เอ็ดดี้กับเวน่อม รู้ว่าตนสามารถท่องพหุจักรวาล ผ่านการรับรู้ของซิมบิโอตได้ โดยในช่วงท้ายของ ‘Venom: Let There Be Carnage’ พวกเขาได้หลุดมายังจักรวาล 616 (จักรวาล MCU) และพวกเขาก็ได้ใช้มันข้ามพหุจักรวาลกันเป็นว่าเล่นในช่วงต้นเรื่องของภาคนี้ ทว่าสิ่งนี้แหละ กลับเป็นการส่งสัญญาณให้แก่นัลล์ บิดาแห่งซิมบิโอต ชายผู้สามารถส่งปรสิต และเอเลียนข้ามมาทุกพหุจักรวาลได้รับรู้ว่าพวกเขามีตัวตน

ในภาคนี้หลังจากเอ็ดดี้ได้กลับมายังจักรวาลของตน เขาก็พบว่าตนยังคงต้องหนีการตามล่าจากตำรวจ อันเนื่องมาจากความเข้าใจผิดในเหตุการณ์ท้ายภาค ‘Venom: Let There Be Carnage’ อยู่ ทว่าในระหว่างที่เอ็ดดี้กำลังเดินทางไปยังกรุงนิวยอร์กเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์นั้น กลับมีหน่วยรบพิเศษที่มาตามล่าตัวเขา ซ้ำร้ายยังเจอกับเอเลียนฆ่าไม่ตาย ที่นัลล์ได้ส่งมาตามล่าต่ออีกทอด  

สิ่งหนึ่งที่ชอบคือ ‘Venom: The Last Dance’ ได้เปิดเรื่องราวของนัลล์ บิดาผู้สร้างซิมบิโอตอย่างเป็นทางการ ผู้มาพร้อมเนื้อเรื่องที่สามารถอุดรอยรั่วเรื่องพหุจักรวาลได้ แม้บทบาทของนัลล์จะไม่ได้เยอะมาก แต่ก็ทำให้เรารู้ว่าบอสตนนี้น่าเกรงขามขนาดไหน ซึ่งเป็นน้ำจิ้มในระดับที่เราเห็นเจ้าดาร์กไซด์ในภาพยนตร์ ‘Justice League’ (2017) กันเลยล่ะ

หากซิมบิโอต คือตัวตนปรสิตที่แข็งแกร่งแล้ว เจ้าเอเลียนที่มาตามล่าเอ็ดดี้ก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน เพราะจุดที่ทำให้เราชอบมากขึ้นคือ ภาคนี้มี ‘กีกี้’ ที่โค่นยากมาตามล่าตัวเอก ซึ่งแค่ตัวเดียวก็หืดจับแล้ว พอมันมาหลายตัว ก็เล่นเอาเราลุ้นเลยว่าเอ็ดดี้และเวน่อม จะทำยังไงเพื่อให้เอาชนะพวกมันได้ โดยความสิ้นหวังนี้ อยู่ในระดับเดียวกับ ‘X-Men: Days of Future Past’ ที่เรารู้เลยว่า ต่อให้ขนมาทั้งกองทัพ ก็ยากที่จะโค่นเอเลียนกลุ่มนี้

แม้ว่าจะมีจุดที่น่าชื่นชม แต่ก็ใช่ว่าหนังภาคนี้จะดีกว่า 2 ภาคก่อน เพราะ ‘Venom: The Last Dance’ ยังคงเป็นแฟรนไชส์ที่มีปัญหาในจุดเดิม คือหนังมีพล็อตย่อยที่สะเปะสะปะ มีตัวละครที่ไม่รู้จะเพิ่มเข้ามาทำไม ไม่เพียงแค่นั้น พวกเขาแทบจะทิ้งหลายตัวละครที่มีบทบาทในภาคก่อนไป จนรู้สึกว่าหากไม่มีทอม ฮาร์ดี แฟรนไชส์นี้อาจไม่มีอะไรดีเลย

หากคุณผู้อ่านชอบดูหนังเอามันแบบเพลิน ๆ และไม่ได้คาดหวังกับแฟรนไชส์ Venom นี้เท่าไหร่ ก็ถือว่าหนังสอบผ่านในแง่ของความเป็นหนังป็อปคอร์นดูเอาสนุกได้ เพราะอะไรที่เคยทำได้ดีอย่างเรื่องเคมีของเอ็ดดี้กับเวน่อมนั้น ก็อยู่ในมาตรฐานที่เราพอใจ หรือการได้เห็นซิมบิโอตตัวใหม่ ๆ ภาคนี้ก็ขนกันมาแบบไม่มีกั๊ก เพื่อสั่งลากันให้สนั่นจอ 

แต่เชื่อเหลือเกินว่าแฟนบอยมาร์เวลนั้น น่าจะอยากเห็นอะไรที่มากกว่านี้ เพราะไหน ๆ ก็เป็นภาคสุดท้ายที่เปิดเรื่องราวมาพร้อมมัลติเวิร์ส ก็อยากให้หนังขนอะไรที่เซอร์วิสคนดูได้ เหมือนอย่างที่ ‘Spider-Man: No Way Home’ เคยทำมา ทว่าเราก็พูดได้แค่ว่า อะไรที่เราอยากดู อะไรที่เราอยากเห็น อะไรที่คิดว่า Sony รู้ว่าใส่มาแล้วจะเราจะตื่นเต้นนั้น พี่แกไม่เอามาหรอก ฉะนั้นถ้าจะไปดู ‘Venom: The Last Dance’ ก็ขอให้ตั้งความคาดหวังไว้แค่มาดู Venom เพื่อสั่งลาคู่หูนี้เป็นครั้งสุดท้าย (ไหมนะ) ก็พอ

‘Venom: The Last Dance’ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงผู้กำกับครั้งที่ 3 ของแฟรนไชส์นี้ (และใช่จ้า หนังเปลี่ยนผู้กำกับทุกภาคเลย) โดยผู้กำกับของภาคนี้คือเคลลี มาร์เซล (Kelly Marcel) มือเขียนบทของแฟรนไชส์ Venom ที่คราวนี้ขอขยับมากำกับเพื่อปิดตำนานเจ้าเพื่อนรักปรสิตนี้โดยเฉพาะ

โดยในแง่ดี การที่ผู้เขียนบทขยับมากำกับ ก็ทำให้เราได้เห็นเคมีที่ไหลลื่นของคู่หูคู่นี้ ทว่าปัญหาที่มีคือการที่หนังยังมีบาดแผลที่น่าเสียดาย จนเราเองก็หงุดหงิดว่าภาคสั่งลานั้น ทำได้แค่นี้จริง ๆ หรือ แม้ว่าบาดแผลที่มีจะยังคงเดิม แต่การต่อสู้ในองก์สุดท้ายนั้น ก็ทำให้เราเห็นว่าตัวละครได้พัฒนามาจนถึงจุดสิ้นสุด ซึ่งทำให้เราอดตื้นตันกับปลายทางของเรื่องราวนี้ไม่ได้

โดยรวมแล้ว ‘Venom: The Last Dance’ มีเคมีตัวละครที่น่าสนใจ ซีนแอ็กชันที่ทำได้ตามมาตรฐาน ฉากสุดตื่นตาที่ทำให้เราแอบตื่นเต้นกับอนาคตของจักรวาล ไปจนถึงซีนอารมณ์อันน่าประทับใจ แต่มันก็ไม่ใช่หนังที่ดีงามไปกว่า 2 ภาคก่อนหน้า เพราะหนังยังทำได้ดีในจุดเดิม ๆ และมีบาดแผลย้ำในจุดเดิม ๆ ซึ่งความน่าตื่นตาของหนังก็คงมาจากการที่แฟรนไชส์ได้ทำการเปิดประเด็นใหม่ (ที่ไม่รู้จะได้สานต่อไหม) ขึ้นมานั่นแหละ

คงพูดได้ว่าหากปิดตำนานแฟรนไชส์ของ Venom ไว้เพียงแค่นี้ มันก็เป็นการปิดตำนานที่ไร้ซึ่งความน่าจดจำ และหากจะมีสักแวบหนึ่งที่เรารู้ว่าแฟรนไชส์นี้ดีงามแค่ไหน ก็คงมีเพียงการแสดงของทอม ฮาร์ดีที่แบกหนังไว้ และทำให้เราเข้าใจว่าตัวร้ายของสไปเดอร์แมน ก็มีอิมแพกต์ถึงขนาดที่ทำซีรีส์แยกเป็นหนังได้ตั้ง 3 ภาค