ไม่มีใครปฏิเสธถึงปรากฏการณ์ความสำเร็จของหนังแอ็กชันทริลเลอร์ล้างแค้นแทนหมา ในหนัง ‘John Wick’ (2014) ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำรายได้ทั่วโลก 86 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 20 ล้านเหรียญ รวมทั้งคำวิจารณ์และความชื่นชอบของผู้ชม ที่ยกให้เป็นหนังแอ็กชันแนวกันฟู (Gun-Fu) หรือหนังแอ็กชันแนวยิงปืนผสมกับการต่อสู้ระยะประชิดที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของยุคนี้ รวมทั้งยังเป็นแรงส่งให้ คีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves) กลับมายืนในวงการได้อย่างสง่างาม หลังจากประสบความล้มเหลวกับ ’47 Ronin’ (2013) และ ‘Man of Tai Chi’ (2013) ผลงานประเดิมการกำกับหนังครั้งแรกของรีฟส์
เรื่องราวของของโลกนักฆ่า และอดีตมือปืนฉายา ‘บาบายาก้า’ ได้รับการต่อยอดความสำเร็จออกมาเป็นแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดชุดหนึ่งของยุคนี้ ตั้งแต่หนังภาคต่อ ‘John Wick: Chapter 2’ (2017) ที่ทำรายได้เป็น 2 เท่าของภาคแรก, ‘John Wick: Chapter 3 – Parabellum’ (2019) และ ‘John Wick: Chapter 4’ (2023) ที่ทำรายได้มากที่สุดของแฟรนไชส์ รวมทั้งยังมีภาคแยก หรือ Spin-Off ออกมาอีกมากมายทั้งในรูปแบบทีวีซีรีส์ ‘Continental: From the World of John Wick’ (2023) และหนัง ‘From the World of John Wick: Ballerina’ ที่จะเข้าฉายในปี 2025
แต่ก่อนจะกลายเป็นปรากฏการณ์ ตัวหนังเคยไม่ได้รับความเชื่อมั่น และเกือบจะต้องประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก ในวาระที่ปีนี้ ‘John Wick’ ภาคแรกได้เข้าฉายมาจนครบรอบ 1 ทศวรรษพอดิบพอดี เว็บไซต์ Business Insider ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ แชด สตาเฮลสกี (Chad Stahelski) และ เดวิด ลิตช์ (David Leitch) ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ผู้ให้กำเนิดแฟรนไชส์ ‘John Wick’ เพื่อย้อนรำลึกเบื้องหลังการทำงานอันยากลำบาก และปาฏิหาริย์ที่อยู่ดี ๆ ก็มีคนหยิบยื่นโอกาสมาให้ในช่วงนาทีสุดท้าย
ปาฏิหาริย์ที่ว่านั้นก็คือ อีวา ลองโกเรีย (Eva Longoria) นักแสดงที่โด่งดังจากทีวีซีรีส์ยอดฮิต ‘Desperate Housewives’ (2004-2012) รวมทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทโปรดักชัน UnbeliEVAble Entertainment ซึ่งเป็นผู้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือด้วยการมอบเงินจำนวน 6 ล้านเหรียญสำหรับใช้เป็นทุนสร้าง ก่อนที่โปรดักชันจะต้องถูกระงับเพราะทุนสร้างไม่พอ และนั่นก็ทำให้เธอได้รับเครดิตเป็นโปรดิวเซอร์ร่วมของหนัง ‘John Wick’ ด้วย
สตาเฮลสกี: “ก่อนเริ่มการถ่ายทำไม่ถึงสัปดาห์ เราสูญเสียเงินไปเกือบ 6 ล้านเหรียญจากการระดมทุน เราใช้วิธีการระดมทุนแบบอิสระเพื่อให้ได้พันธบัตรมา แต่ 1 ในนักลงทุนไม่สามารถหาเงินได้ทันเวลา ผม, คีอานู และเดวิด เลยต้องเลื่อนการรับเงินค่าจ้างออกไป โปรดิวเซอร์ เบซิล ไอวานิก (Basil Iwanyk) ก็ใช้บัตรเครดิต 3 ใบของเขาจนเต็มวงเงินไปแล้ว พวกเราทุกคน รวมถึงคีอานูต่างก็ลงเงินที่มีไปแล้ว แต่ก็ยังขาดอยู่ การถ่ายทำก็เลยต้องหยุดชะงัก”
ลิตช์: “บริษัทเอเจนซี CAA (Creative Artists Agency) เป็นคนจัดการขั้นตอนการระดมทุน ด้วยการยื่นข้อเสนอให้กับนักแสดงบางคนที่มีเงินทุน และให้สัญญาว่า ‘คุณจะเป็นคนแรกที่ได้รับเงินคืน และจากนั้นก็จะได้เงินตอบแทนจำนวนเท่านี้ ๆ ๆ’ แล้วอีวาก็ตอบกลับมาว่า ‘เจ๋งเลย !'”
สตาเฮลสกี: “เธอเข้ามาช่วยเรา และจัดหาเงินทุนที่ยังขาดให้ ซึ่งเราเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เลย เบซิลไม่ยอมบอกคีอานูหรือพวกเราเลย จนกระทั่งไม่ถึง 24 ชั่วโมงก่อนถึงเส้นตายที่พวกเราต้องหยุดการถ่ายทำและเตรียมตัวแยกย้าย เบซิลก็บอกกับเราว่า ‘เราได้ตัวนักลงทุนแล้วนะ และก็ได้เงินส่วนที่ขาดมาครบแล้วด้วย'”
“เรารู้เรื่องนี้ตอนที่ปิดกองไปแล้วครับ เบซิลชวนพวกเราไปทานข้าวเย็น และเราก็นั่งหัวเราะกับเรื่องวุ่นวายโน่นนี่ที่เกิดขึ้น แล้วเขาก็พูดว่า ‘เออ มีเรื่องตลกจะเล่าให้ฟัง รู้ไหมว่าใครเป็นคนที่หาเงินทุนมาให้ ? อีวา ลองโกเรียไง’ พวกเรานั่งอึ้งกันแล้วก็พูดว่า ‘อะไรนะ !'”
“หลังจากที่หนังประสบความสำเร็จ เดวิดกับผมได้มีโอกาสเจอกับอีวา เราไม่เคยพบเธอมาก่อนเลย เราชวนเธอไปทานมื้อกลางวันที่ Chateau Marmont เธอหัวเราะแล้วก็พูดว่า ‘ฉันไม่เคยคิดว่ามันจะประสบความสำเร็จเลยนะ'”
ลิตช์: “ระหว่างฤดูกาลประกาศรางวัลเมื่อปีที่แล้ว ผมได้เจอเธอ 2 ครั้งที่งานของสถาบันออสการ์ และเราก็ชวนเธอคุยรำลึกอดีตถึงเหตุการณ์นี้ เธอพูดว่า ‘นั่นเป็นการใช้เงินที่คุ้มค่าที่สุดที่ฉันเคยใช้มาเลยนะ’ มันให้ผลตอบแทนอย่างมากสำหรับเธอน่ะครับ”
ลิตช์ตอบคำถามถึงคนที่สงสัยว่า การที่ลองโกเรียยอมทุ่มเงินก้อนโต เพราะอยากเปิดประตูพาตัวเองเข้าสู่โลกของหนังแอ็กชันด้วยหรือเปล่า
“ผมว่าเธอเองก็คงต้องการครับ เธอต้องอยากทำแน่ ๆ เลย และผมเองก็อยากร่วมงานกับเธอมาก เรากำลังหาอะไรบางอย่างทำกันอยู่”
ลิตช์ยังเล่าถึงช่วงเวลาที่เขาและสตาเฮลสกี นำ ‘John Wick’ ที่ทั้งคู่กำกับร่วมกัน แต่สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์อเมริกา (Director Guild of America – DGAX ให้เครดิตสตาเฮลสกีเฉพาะโปรดิวเซอร์ ไปฉายในงาน Fantastic Fest ก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยนำหนังไปทดลองฉายให้กับเพื่อน ๆ และครอบครัวดูมาแล้ว 2 ครั้ง แต่กลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง และแทบไม่มีสตูดิโอไหนยอมเข้ามาเป็นผู้จัดจำหน่ายเลย และหนังก็กำลังจะถูกนำไปฉายในรูปแบบหนังแผ่นแทน ในเวลานั้นพวกเขาจึงรู้สึกกดดันไม่น้อย
“เราเคยมีการฉายให้กับผู้จัดจำหน่ายได้ดูเมื่อ 1 เดือนก่อนหน้า และผมก็เดินออกมาพร้อมกับคิดว่า มันเป็นหนังแอ็กชันน่ะ อย่างน้อยก็มีคนที่ยื่นข้อเสนอที่ต่ำที่สุดให้เราได้นั่นแหละน่า แต่เรากลับไม่ได้อะไรเลย เราเลยสงสัยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป”
แต่หลังจากเข้าฉายในงาน ลิตช์, สตาเฮลสกี และรีฟส์ที่นั่งชมอยู่ด้วยกันกลับรู้สึกได้ถึงการตอบรับในแง่บวกของผู้ชมที่มีต่อตัวหนัง “พวกเราจำต้องเข้าไปอยู่ในโรงหนังด้วย เพราะพวกเราอยากจะรับรู้ถึงผลที่ตามมา” ลิตช์เล่า
ในขณะที่สตาเฮลสกีเล่าเสริมว่า “คีอานูหันมาพูดกับผมว่า ‘เฮ้ ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะชอบหนังนะ !’ ตอนนั้นพวกเราตกใจกันมาก”
ลิตช์เล่าต่อ “จริง ๆ แล้วพวกเขาก็สนุกกับตัวหนัง สนุกกับสิ่งที่เราออกแบบไว้ มันทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า ‘เห็นไหมล่ะ พวกเราก็กำกับหนังได้ !'”