โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.) นักแสดงรุ่นใหญ่วัย 59 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ได้รับการยกย่องและประสบความสำเร็จสูงสุดในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ปัจจุบัน รวมถึงเพิ่งคว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก ‘Oppenheimer’ (2023) ได้ให้สัมภาษณ์ในตอนหนึ่งของรายการพอดแคสต์ ‘On With Kara Swisher’

คาร่า สวิเชอร์ (Kara Swisher) นักข่าวรุ่นเก๋าซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการพอดแคสต์นี้ ได้กล่าวกับดาวนีย์ จูเนียร์ว่า ผู้บริหารในอนาคต (หมายถึงผู้บริหารสตูดิโอภาพยนตร์) จะพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่เหมือนกับตัวเขาขึ้นมาใหม่ด้วย AI หลังจากที่เขาได้เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งดาวนีย์ จูเนียร์ได้ตอบโต้กลับด้วยการเตือนผู้บริหารเหล่านี้ว่า ทีมกฎหมายของเขาจะเข้ามาจัดการในเรื่องนี้

เขาได้เปิดเผยให้ทราบแนวคิดที่ชัดเจนว่า เขาไม่อนุญาตให้มีการนำ AI มาสร้างตัวตนเขาขึ้นมา และตั้งใจจะดำเนินการทางกฎหมายต่อทุกคนที่พยายามทำเช่นนี้ แม้แต่ในอนาคตที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว เพราะบริษัทกฎหมายของเขาจะยังคงดำเนินการฟ้องร้องต่อไป

คุณพูดถูกแล้ว ผมมาที่นี่เพื่อแจ้งให้ทราบชัด ๆ ว่า ผมตั้งใจจะฟ้องร้องผู้บริหารในอนาคตเหล่านี้ทั้งหมด บริษัทกฎหมายของเขาจะยังคงเดินหน้าฟ้องร้องต่อไป

Robert Downey Jr.

ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ฮอลลีวูดได้นำ AI มาใช้ในการสร้างภาพ, เสียง หรือเอฟเฟกต์ต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้สร้างภาพยนตร์สร้างสรรค์ผลงานได้ตรงตามความต้องการได้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ผู้กำกับ, ผู้เขียนบท และนักแสดงหลายคนได้แสดงความกังวลที่สตูดิโอนำ AI มาใช้แทนมนุษย์มากเกินไป

อย่างไรก็ดี ดาวนีย์ จูเนียร์ได้แสดงถึงความเชื่อมั่นในผู้นำของ Marvel Studios ว่าจะไม่สร้างตัวละคร Tony Stark ของเขาขึ้นมาใหม่ด้วย AI อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจกลับสู่จักรวาล MCU (Marvel Cinematic Universe) อีกครั้ง ในบท Doctor Doom วายร้ายคนใหม่ใน ‘Avengers: Doomsday’ ซึ่งมีกำหนดฉายในปี 2026 ตามด้วย ‘Avengers: Secret Wars’ ในปี 2027

การกลับสู่ MCU ในครั้งนี้ ผมไม่กังวลว่าสตูดิโอจะแย่งชิงจิตวิญญาณของตัวละครของผมไปแต่อย่างใด เพราะมีผู้บริหารที่ตัดสินใจสิ่งต่าง ๆ อย่างที่ควรจะเป็น และพวกเขาจะไม่มีทางละเมิดความตั้งใจของผม ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีผมอยู่ก็ตาม

Robert Downey Jr.

แม้ว่า AI จะยังทำงานไม่สมบูรณ์ ยกตัวอย่างเช่น การนำตัวละคร Superman ของ คริสโตเฟอร์ รีฟ (Christopher Reeve) กลับมาใน ‘The Flash’ (2023) ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่แย่มาก เป็นต้น แต่มีแนวโน้มว่าเทคโนโลยีนี้จะได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็วและแก้ข้อผิดพลาดจนมีความเสถียรมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

นั่นอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่หากผู้บริหารสตูดิโอต้องการหาผลประโยชน์ด้วยการนำนักแสดงที่เสียชีวิตไปแล้วกลับมาบนจอเงินมากจนเกินไป และอาจเป็นการทำลายมรดกทางภาพยนตร์ที่นักแสดงผู้ล่วงลับทิ้งไว้โดยสิ้นเชิง