เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นหน้า เซอร์ คริสโตเฟอร์ ลี (Sir Christopher Lee) ในฐานะนักแสดงวายร้ายฮอลลีวูดในตำนานที่ถูกจดจำในฐานะดาวร้ายฮอลลีวูด ทั้งในรูปแบบอสุรกาย ตั้งแต่ปีศาจของแฟรงเกนสไตน์, แดร็กคูลา, มัมมี่ และบทบาทวายร้าย อาทิ รับบทเป็น ฟรานซิสโก สการามังกา ในหนัง James Bond ภาค ‘The Man with the Golden Gun’ (1974), เคานต์ดูกู ใน ‘Star Wars’ ไตรภาคต้น รวมทั้งการรับบทเป็นพ่อมดขาว ซารูมาน (Saruman) ในมหากาพย์ ‘The Lord of the Rings’ และ ‘The Hobbit’

ในภาพยนตร์สารคดี ‘The Life and Deaths of Christopher Lee’ ของสถานีโทรทัศน์ Sky News ที่เพิ่งเผยแพร่ให้รับชมเมื่อเร็ว ๆ นี้ นอกจากจะเป็นการเล่าชีวประวัติของเขาในฐานะทายาทขุนนางชาวอังกฤษ เข้ารับราชการในกองทัพอากาศของอังกฤษ ได้ทำหน้าที่เป็นสายลับในสงครามโลกครั้งที่ 2 และกลายมาเป็นนักแสดงที่มีผลงานหนังมากกว่า 250 เรื่อง ก่อนจะจากไปอย่างสงบเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ปี 2015 ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ขณะมีอายุได้ 93 ปี

ฮวน อาเนรอส (Juan Aneiros) สามีของ คริสตินา เอริกา ลี (Christina Erika Lee) ลูกสาวคนเดียวของลี ได้เล่าถึงช่วงเวลาที่พ่อตาของเขาได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเชลซีแอนด์เวสต์มินสเตอร์ (Chelsea and Westminster Hospital) ในระหว่างที่ลีกำลังรับชมโทรทัศน์ บังเอิญว่ามีการฉายไตรภาค ‘The Lord of the Rings’ อยู่พอดิบพอดี ลีจึงได้ชักชวนให้ลูกเขย และพยาบาลที่ดูแลมานั่งดู และฟังเบื้องหลังการถ่ายทำหนังชุดนี้ที่เล่าผ่านนักแสดงตัวจริงไปพร้อมกัน

“คืนนั้นเขาบอกกับผมว่าจะมีหนัง ‘The Lord of the Rings’ ฉายทางทีวี และพวกเราจะดูพร้อม ๆ กันกับพยาบาล เขาบอกกับผมว่า ‘ฉันจะเล่าให้ฟังว่าหนังเรื่องนี้สร้างขึ้นมาได้ยังไง’ เพราะว่าเขารักหนังเรื่องนี้มาก ๆ ครับ”

Christopher Lee The Lord of the Rings The Hobbit

อาเนรอสมีความเชื่อว่า ลีจะมีอาการดีขึ้นและกลับมาบ้านได้ในไม่ช้า แต่กลายเป็นว่า นี่คือครั้งสุดท้ายที่ลีได้มีโอกาสชื่นชมผลงานที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด ก่อนจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

“คืนนั้น เขาได้ดู ‘The Lord of the Rings’ กับพยาบาล แล้วเราก็กลับบ้าน โดยคิดว่าลีคงจะได้กลับมาบ้านแน่ ๆ แต่คืนนั้นในขณะที่ผมกำลังหลับ ผมเห็นคริสตินาตื่นตระหนก และเธอก็บอกผมว่า ‘พ่อจากไปแล้ว'”

“มันเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราช็อกมากจริง ๆ เพราะผมและพวกเราคิดว่า เขาน่าจะยังอยู่ตลอดไป ผมคิดว่าเขาคงน่าจะมีอายุเกินร้อยจริง ๆ แต่สุดท้ายสิ่งนี้ก็เกิดขึ้น เขาจากไปอย่างสงบ ไม่ต้องทุกข์ทรมานอะไร เขาแค่หลับไปเท่านั้นเอง”

ลีเป็นแฟนตัวยงของมหากาพย์ ‘The Lord of the Rings’ มาตั้งแต่ที่เขาได้อ่านนิยายชุดนี้เป็นครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1950 ก่อนที่เขาจะตั้งปณิธานในการอ่านนิยาย ‘The Lord of the Rings’ ปีละ 1 จบ นอกจากนี้ ลียังถือเป็นทีมงานเพียงคนเดียวที่ได้มีโอกาสพบกับผู้ประพันธ์ เจ.อาร์.อาร์. โทลคีน (J. R. R. Tolkien) ตัวจริงเสียงจริง ก่อนที่โทลคีนจะเสียชีวิตในปี 1973

“ผมได้พบกับเขาโดยบังเอิญจริง ๆ ผมได้พบกับเขาและคนอื่น ๆ อีกกลุ่ม ในผับแห่งหนึ่งที่ชื่อ The Eagle and Child ที่ย่านอ็อกซ์ฟอร์ด คุณคงนึกออกนะว่าตอนที่ผมเจอเขา ผมรู้สึกประหม่ามาก ๆ แทบจะตกเก้าอี้เลย ผมจึงถามเขาไปว่า ‘คุณสบายดีไหมครับ'”

“ผมรู้สึกมาตลอดว่า ‘The Lord of the Rings’ คือผลงานวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมเลย เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ผมแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้อ่านเล่มที่ 2 และเล่มที่ 3 เพราะไม่มีเคยมีการเขียนหนังสือเล่มไหนที่เหมือนกับเรื่องนี้มาก่อน”

ในฐานะนักแสดงคนหนึ่งที่มีความหลงใหลโลกแห่งมิดเดิลเอิร์ธ จนถึงขั้นอยากลงไปมีส่วนร่วมในการผจญภัย เขาจึงมีความฝันว่า สักวันเขาอาจได้มีส่วนร่วมกับการดัดแปลง ‘The Lord of the Rings’ ในรูปแบบหนัง แต่บทบาทในฝันที่เขาต้องการสวมบทบาทมากที่สุดกลับไม่ใช่ซารูมาน แต่เป็นพ่อมดเทา แกนดัล์ฟ (Gandalf) ซึ่งเป็นตัวละครที่เขาโปรดปรานที่สุดของนิยายชุดนี้ จนถึงขนาดที่โทลคีนก็ยังอวยพรให้เขาได้รับบทเป็นพ่อมดเทาตามที่หวัง

และในที่สุดความฝันก็เป็นจริง เมื่อสตูดิโอ New Line Cinema ได้ทุ่มงบก้อนโตให้ผู้กำกับ ปีเตอร์ แจ็กสัน (Peter Jackson) เนรมิตไตรภาคนี้ในรูปแบบหนังไตรภาค และแน่นอนว่าเขาเองก็อยากจะมีส่วนร่วมในบทบาทพ่อมดเทา เขายอมรับแสดงในทีวีซีรีส์ ‘The New Adventures of Robin Hood’ (1997–1998) เพื่อจะได้มีโปรไฟล์ว่าเคยรับบทเป็นพ่อมดมาแล้ว

“เหตุผลเดียวที่ผมรับเล่นเป็นพ่อมดใน ‘The New Adventures of Robin Hood’ ก็เพื่อแสดงให้ทุกคนที่ดูอยู่เห็นว่าผมสามารถเล่นเป็นพ่อมดได้ และผมเหมาะที่จะได้รับคัดเลือกให้เป็นนักแสดงใน ‘The Lord of the Rings'”

Christopher Lee The Lord of the Rings The Hobbit

เขาลงทุนถ่ายรูปตัวเองในบทบาทพ่อมดส่งไปให้แจ็กสันดูเป็นตัวเลือก แต่สุดท้าย บทบาทพ่อมดเทาก็ตกเป็นของ เซอร์ เอียน แม็กเคลเลน (Sir Ian McKellen) และแจ็กสันได้เสนอให้เขารับบทเป็นซารูมาน ด้วยร่างกายที่สูงใหญ่ เสียงทุ้ม และภาพลักษณ์ที่ดูน่าเกรงขาม

“ผมส่งรูปที่ผมแต่งเป็นพ่อมดให้เขา แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นแค่การส่งไปแบบขำ ๆ อะไรแบบนั้นมากว่า ให้เขาเห็นว่านี่คือหน้าตาของพ่อมดนะ อย่าลืมสิ่งนี้ตอนคัดเลือกนักแสดงด้วยแล้วกัน คือผมไม่ได้จะเสนอตัวอะไรหรอก เพราะผมคิดว่าปีเตอร์คงตัดสินใจไปแล้วล่ะ”

แจ็กสันเล่าในสารคดีเรื่องเดียวกัน ถึงช่วงเวลาที่เขายื่นข้อเสนอบทที่ไม่คาดคิดให้กับลี

“สิ่งที่ทำให้เราประหลาดใจก็คือ มันไม่ได้เป็นแค่การสนทนาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขามารับบทที่เราต้องการอยากให้เขาเล่นครับ ตรงข้าม เขากลับกระตือรือร้นอย่างมาก เพราะเขาเป็นแฟนตัวยงของโทลคีน เขาบอกว่า ‘ผมยินดีจะเล่นเป็นซารูมานแน่นอน แต่คุณเคยคิดอยากให้ผมเล่นเป็นแกนดัล์ฟบ้างหรือเปล่า ?’ ซึ่งเราไม่เคยคิดเอาไว้เลยครับ มันทำให้ผมรู้สึกกดดันนิดหน่อย เพราะเราไม่ได้พิจารณาเรื่องนี้เอาไว้เลย ผมเลยตอบเขาไปว่า ‘เราต้องการให้คุณรับบทซารูมานจริง ๆ นะครับ'”

“แต่ผมก็เข้าใจนะ เพราะบทแกนดัล์ฟมันท้าทายมากกว่า แต่ทุกคนรู้ว่าเขาเหมาะกับบทซารูมานอยู่แล้ว เขาบอกว่า ‘ผมเตรียมซีนมาแล้ว ถ่ายทำให้ผมหน่อย ผมอยากแสดงบทแกนดัล์ฟให้คุณดู’ จริง ๆ คือเขาได้ลองออดิชันบทให้เราดูแล้ว ซึ่งนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เราต้องการให้คริสโตเฟอร์ ลีทำ”

“คือเขาก็แสดงบทแกนดัล์ฟได้ดีนะครับ แต่เขาเหมาะกับบทซารูมานมากกว่า และเราก็รู้ดีว่าบทแกนดัล์ฟนั้น ยังมีนักแสดงคนอื่น ๆ ที่สามารถเล่นบทนี้ได้ในแบบที่แตกต่างกัน และเราก็กำลังพูดคุยกับเอียนที่ติดอันดับต้น ๆ ในใจเราอยู่ แต่สำหรับบทซารูมาน ไม่มีนักแสดงคนไหนที่เราคิดว่าจะเล่นได้นอกจากเขาเท่านั้น”

แม้อาเนรอสจะเปิดเผยว่า การที่ลีได้รับการคัดเลือกในหนังเรื่องนี้ ถือเป็นความฝันที่กลายเป็นจริงของเขา และเขาเองก็เต็มใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งของหนังเรื่องนี้อย่างเต็มที่ และกลับมารับบทเดิมในไตรภาค ‘The Hobbit’ ด้วย แต่สิ่งที่เขาแอบผิดหวังเล็ก ๆ ก็คือ การที่ฉากหนึ่งถูกตัดออกไปจากภาคสุดท้าย ‘The Lord of the Rings: The Return of the King’ (2003)

ฉากนี้เป็นฉากที่ซารูมานถูกสมุนเอก กริมา เวิร์มทังก์ (Gríma Wormtongue) หักหลังและใช้มีดแทงสังหารด้วยความโกรธแค้นได้อย่างสมจริง แต่สุดท้ายด้วยเหตุผลบางอย่าง ก็ทำให้ฉากนี้ถูกตัดออกไปจากหนัง ก่อนจะถูกนำมาเพิ่มเติมในฉบับ Extended Edition แทน แจ็กสันอธิบายเหตุผลในการตัดฉากสำคัญนี้ออกไป เนื่องจากประสบปัญหาในการตัดต่อ

“ใน ‘The Return of the King’ เราจำเป็นต้องตัดให้สั้นลง ถ้าพูดกันแบบโหดร้าย พวกเรามองว่าฉากนี้ของเขามันไม่ได้ช่วยพัฒนาเนื้อเรื่องอะไรเท่าไหร่ มันเป็นเหมือนการสะสางเรื่องที่ค้างคาจากภาค ‘The Two Towers’ (2002) มากกว่า เราตัดสินใจยากมาก ๆ ที่จะตัดการปรากฏตัวของเขาใน ‘The Return of the King’ ออกไป แม้ว่าจะถ่ายทำไปแล้วก็ตาม”

จอห์น แลนดิส (John Landis) ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของลี ได้เปิดเผยว่าลีเองเสียใจมากที่เห็นฉากนี้ถูกตัดออกไป “ผมจำได้ ตอนนั้นเราคุยกันว่า ‘นายเป็นส่วนสำคัญของ ‘The Lord of the Rings’ อยู่แล้วนี่ แถมตอนนี้ยังได้เป็นส่วนสำคัญของ ‘Star Wars’ ด้วย อย่าคิดมากเลยน่า !'”