ความสนุกสนานของ ‘Deadpool & Wolverine’ ที่นอกจากจะขนบรรดา Cameo ตัวละครซูเปอร์ฮีโร Marvel ยุค 20th Century Fox มาเซอร์ไพรส์กันแบบจุก ๆ แล้ว ตัวหนังก็ยังน่ารักตรงที่ไม่ได้ทิ้งบรรดาตัวละครจากภาคก่อน ๆ ทั้งใน ‘Deadpool’ (2016) และ ‘Deadpool 2’ (2018) ไว้เป็นเบื้องหลัง จะมีก็แต่ วีเซิล (Weasel) ตัวละครบาร์เทนเดอร์และคู่หูของ Deadpool ที่รับบทโดย ที.เจ. มิลเลอร์ (T.J. Miller) นักแสดงจากหนัง ‘Transformers: Age of Extinction’ (2014), ‘Ready Player One’ (2018) และซีรีส์ ‘Silicon Valley’ (2014–2017) ของ HBO ที่ไม่ได้กลับมาในภาคนี้
สาเหตุที่เขาไม่ได้กลับมารวมครอบครัวในไทม์ไลน์ Earth-10005 ก็น่าจะเป็นผลพวงจากข่าวคราวเกาเหลาของเขากับนักแสดงและโปรดิวเซอร์ของหนังอย่าง ไรอัน เรย์โนลส์ (Ryan Reynolds) รวมทั้งบรรดาพฤติกรรมสร้างชื่อเสียที่ทำให้เขาโดนฮอลลีวูดห่างเหินไปนานหลายปี แต่ถึงอย่างนั้น มิลเลอร์ได้เปิดเผยในรายการ The Bonfire ของสถานีวิทยุ SiriusXM ว่า หากในอนาคต เรย์โนลส์จะสร้างหนัง ‘Deadpool’ ภาค 4 เขาเองก็ยินดีหากเจ้าของบท เวด วิลสัน จะเรียกให้เขากลับไปรับบท Weasel อีกครั้ง
“เมื่อไม่นานมานี้ เราได้พูดคุยกันนิดหน่อยครับ ผมคิดว่าเขาก็น่าจะยังต้องการผมนะ ในตอนนี้ ตัวผมคิดว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดีมาก ๆ เลยและผมคิดว่า (ถ้าได้กลับไปแสดงใน ‘Deadpool 4’) มันคงจะเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก”
มิลเลอร์ปรากฏตัวในบทบาท Weasel หรือเจ้าของเครดิต ‘Comic Relief’ (ตัวตบมุก) ใน Opening Title ของ ‘Deadpool’ ภาคแรก โดย Weasel เป็นทั้งบาร์เทนเดอร์และ Sidekick ผู้ให้ความช่วยเหลือด้านอาวุธให้กับ Deadpool รวมทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้ เวด วิลสัน ตั้งฉายานามของตัวเองว่า Deadpool จากข้อความที่เขียนบนกระดานจดแต้มต่อการพนันต่อสู้ในบาร์ และใน ‘Deadpool 2’ Weasel ร่วมมือกับ Deadpool ค้นหาและก่อตั้งสมาชิกทีม X-Force ก่อนที่เขาจะถูก Cable วายร้ายของภาคจับตัวไปรีดเค้นข้อมูลเพื่อตามไล่ล่า Deadpool และรัสเซล
มิลเลอร์ต้องเผชิญกับปัญหาส่วนตัวมากมายหลายครั้ง ในปี 2017 ช่วงกระแส #MeToo เขาถูกแฉว่าเคยก่อเหตุความรุนแรงต่อหญิงสาวคนหนึ่งในระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ในช่วงที่เขาเรียนระดับมหาวิทยาลัยในปี 2001 โดยหญิงสาวคนดังกล่าวเปิดเผยกับสื่อว่าเขาทำร้ายเธอด้วยการบีบคอบีบคอ เขย่าร่างกาย และต่อยเข้าที่ปากของเธอ ในขณะที่มิลเลอร์ได้ออกมาปฏิเสธในข้อหาดังกล่าว
ในปีเดียวกัน มีการประกาศออกมาว่ามิลเลอร์จะถอนตัวจากซีรีส์ ‘Silicon Valley’ ซีซันที่ 4 หลังจากที่มีกระแสข่าวถึงพฤติกรรมแย่ ๆ ของเขาในกองถ่าย ตั้งแต่การมาถึงกองถ่ายสาย หรือบางครั้งก็ไม่มาเลย และบางครั้งก็มักจะเผลอหลับระหว่างถ่ายทำ มีรายงานระบุว่าเขามีการใช้แอลกอฮอล์และยาเสพติดในระหว่างทำงาน และมีรายงานว่าเขาเคยมีพฤติกรรมรังแกต่อเพื่อนนักแสดงอีกด้วย
นอกจากนี้ ในปี 2018 หลังจากที่ ‘Deadpool 2’ เข้าฉาย มิลเลอร์ถูกจับกุมที่สนามบินลาการ์เดียในนิวยอร์ก หลังจากโทรแจ้ง 911 โดยให้การเท็จว่ามีการวางระเบิดรถไฟ Amtrak ขบวนหมายเลข 2256 โดยแจ้งว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งถือกระเป๋าที่คาดว่าน่าจะมีระเบิดอยู่ แต่หน่วยเก็บกู้ระเบิดที่เข้าตรวจสอบกลับไม่พบชิ้นส่วนวัตถุระเบิดใด ๆ ศาลมีคำตัดสินให้ปล่อยตัวมิลเลอร์โดยใช้หลักทรัพย์ประกันตัว 100,000 เหรียญด้วยเหตุผลทางการแพทย์ จากการที่เขาเคยเข้ารับการเข้าผ่าตัดสมองมาก่อนหน้านี้
เรื่องราวหลายกระทงทำให้โอกาสในอาชีพนักแสดงของเขายิ่งน้อยลงไป หนังเรื่องล่าสุดที่เขาแสดงก็คือ ‘The Stand-In’ ที่เขาร่วมแสดงกับ ดรูว์ แบร์รีมอร์ (Drew Barrymore) ออกฉายเมื่อปี 2020 จนเมื่อเขาได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ The Adam Carolla Show เมื่อปี 2022 โดยออกมาพูดถึงพฤติกรรมของเรย์โนลส์ที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ และยังเคยพูดจารุนแรงจนทำให้เขาไม่อยากร่วมงานด้วยอีกต่อไป
“เมื่อคุณเขาเป็นนักแสดงตลกที่เก่งมาก เวลาใส่หน้ากาก เขาเป็นคนที่ว่องไวมาก เขาตลกมาก ผมชอบเขาในฐานะนักแสดงตลก แต่ที่ผมเห็น พอเขาโด่งดังอย่างมากจาก ‘Deadpool’ ภาคแรก ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เขาโหดร้ายกับผมมาก เขาทำอย่างกับว่าเหมือนผมเป็นวีเซิลอย่างนั้นแหละ”
“เขาเดินมาพูดว่า ‘รู้ไหมว่านายมีข้อดียังไง วีเซิล ? นายไม่ได้เป็นตัวเอกว่ะ นายแค่แสดงแบบว่าเอาแค่พอตลก ๆ แล้วหลังจากนั้นเราก็จะได้ตัดมันทิ้งไป แล้วก็จะได้กลับไปถ่ายหนังกันต่อ ผมฟังแล้วก็คิดว่ามันโคตรแปลกเลย แล้วพวกเขาก็สั่ง ‘คัต…’ ตอนที่ผมเดินออกมาจากฉาก”
“นั่นแหละคือเหตุผลที่เขาพูดแบบนั้น เพราะว่าผมไม่ได้ตลกมากกว่าเขาใช่ไหม ? และผมก็ไม่ได้มีบทในหนังมากเท่าเขา… ถ้าถามว่าผมอยากร่วมงานกับเขาไหม… ไม่ล่ะ ผมคงจะไม่ทำงานกับเขาอีก ผมไม่ได้รู้สึกแย่อะไรต่อเขา และขอให้เขาโชคดี เพราะเขาแสดงบท Deadpool ได้ดีมาก และมันก็แปลกมาก ๆ ที่เขาแสดงออกว่ารังเกียจผม”
และนอกจากนั้นเขายังเปิดเผยว่า เขาจะไม่กลับไปรับบทใน ‘Deadpool 3’ หรือ ‘Deadpool & Wolverine’ “ผมคงจะไม่แสดงใน ‘Deadpool 3’ ต่อให้พวกเขาจะเข้ามาหาผมและบอกว่า ‘เราอยากให้คุณแสดงใน ‘Deadpool 3′ และเราจะจ่ายเงินเพิ่มให้คุณเป็น 2 เท่า’ ผมคิดว่าเขาควรทำหนัง และทำ ‘Deadpool 3’ ต่อไป ผมคิดว่าเขาคงแค่ไม่ชอบขี้หน้าผม ผมคิดว่ามันก็แปลกที่เขาทำตัวแบบนั้น และตอนนี้ผมอยู่ในจุดที่ไม่จำเป็นต้องกลับไปเล่น ‘Deadpool 3’ อีกต่อไป”
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน มิลเลอร์ได้เปิดเผยในรายการ Jim Norton & Sam Roberts Show ของ SiriusXM ว่า เขาและเรย์โนลส์ได้มีโอกาสเคลียร์เรื่องเข้าใจผิด และปรับความเข้าในกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เรย์โนลส์ได้ติดต่อไปถึงเขา
“มันเจ๋งมาก ๆ ครับ เขาส่งอีเมลมาหาผมในวันถัดไปโดยบอกว่ามันเป็นความเข้าใจผิด ผมเลยส่งอีเมลกลับไปหาเขา และตอนนี้ทุกอย่างก็ดีขึ้นแล้ว”
เขาเองยอมรับว่าไม่ได้คิดถึงผลที่ตามมาจากการพูดเรื่องนี้ ซึ่งทำให้สื่อนำไปตีความผิด ๆ “ผมรู้สึกแย่ที่มันถูกนำไปตีความแบบผิด ๆ และถูกนำไปเผยแพร่ แต่ว่ามันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย และวันถัดมาเราก็ได้คุยกัน และทุกอย่างมันก็เป็นไปได้ด้วยดี ผมยอมรับครับว่าไม่ได้คิดถึงผลที่ตามมาของการพูดเรื่องนี้เลย”
“แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ครับที่เขาบอกว่า ‘เฮ้ ฉันได้ยินมาจากรายการนั้นว่านายไม่สบายใจกับเรื่องนี้ แต่นายรู้ไหมว่าฉันไม่ได้รู้สึกว่านายพูดอะไรที่เป็นลบออกมาเลยนะ’ และหลังจากนั้นเราก็พูดคุยและเคลียร์กันได้อย่างรวดเร็วมาก ๆ ครับ”