หลังจากออกไปป่วนโลกเสรีในหนังสารคดีปลอม (Mockumentary) ‘Borat! Cultural Learnings of America for Make Benefit Glorious Nation of Kazakhstan’ (2006) โบรัต ซักดิเยฟ กระจอกข่าวจากคาซัคสถาน ได้กลับมาป่วนสถานการณ์โควิด-19 และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ในภาคต่อ ‘Borat Subsequent Moviefilm: Delivery of Prodigious Bribe to American Regime for Make Benefit Once Glorious Nation of Kazakhstan’ หรือ ‘Borat Subsequent Moviefilm’ (2020)

แม้เบื้องหน้าของหนังทั้ง 2 ภาคจะเต็มไปด้วยมุกฮา จิกกัด และความสัปดนขั้นสุด แต่เบื้องหลังของหนังเรื่องนี้กลับไม่ได้น่าประทับใจมากนัก รวมทั้งวิธีการถ่ายทำด้วยการปลอมตัวและแทรกซึมเข้าไปป่วนบุคคลและสถานการณ์จริง ก็ยิ่งชวนใหันักแสดงชาวอังกฤษจอมปลอมตัวอย่าง ซาชา บารอน โคเฮน (Sacha Baron Cohen) ต้องพบเจอกับสถานการณ์เสี่ยง ๆ อยู่บ่อยครั้ง

เขาได้มีโอกาสเล่าเหตุระทึกระหว่างถ่ายทำฉากหนึ่งของ ‘Borat Subsequent Moviefilm’ ในคลิปของ Vanity Fair ฉากนี้เกิดขึ้นในปี 2020 ช่วงที่ทั่วโลกกำลังล็อกดาวน์ โบรัตปลอมตัวขึ้นไปร้องเพลง “Wuhan Flu Song” ที่มีเนื้อหาจิกกัดฝ่ายซ้าย เหยียดเชื้อชาติบนเวทีชุมนุม ‘March for Our Rights’ ซึ่งเป็นการชุมนุมของกลุ่มขวาจัดเพื่อประท้วงต่อต้านมาตรการควบคุมโรคระบาด ซึ่งทำให้เขาต้องพบกับเหตุการณ์ระทึกขวัญ

“วงดนตรีในฉากนี้เป็นวงที่เราจ้างมาครับ เขารู้ดีว่าเราจะทำอะไร และสำหรับฉากนี้ เป็น 1 ใน 2 ครั้งที่ผมต้องใส่เสื้อเกราะกันกระสุนระหว่างถ่าย เพราะเป็นการชุมนุมที่มีคนถือปืนกึ่งอัตโนมัติเต็มไปหมด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเลยแนะนำให้ผมใส่เสื้อเกราะกันกระสุน”

“ผมถามเขาว่า ‘ถ้าพวกเขาใช้ปืนขึ้นมาล่ะจะเกิดอะไรขึ้น ? ‘ เขาบอกว่า พวกเขาสร้างตู้ลำโพงที่ตั้งอยู่ด้านซ้าย ซึ่งปกติมันแทบจะกันระเบิดได้อยู่แล้ว แผนก็คือ ถ้าพวกเขาเกิดยิงกันจริง ๆ ผมจะกระโดดไปหลบหลังตู้ลำโพงใหญ่ ๆ นั่น เจ้าหน้าที่จะพาผมไปที่รถพยาบาล และพาออกไปจากตรงนั้น”

Sacha Baron Cohen Borat Subsequent Moviefilm Delivery of Prodigious Bribe

“ฉากนี้เกิดขึ้นช่วงกลางของโควิดครับ เราเป็นหนังเรื่องแรกที่ถ่ายทำช่วงโควิด เราเลยกำลังทดลองวิธีการหยุดการแพร่กระจายไวรัส แล้วเอาจริงในวันที่ 2 ของการถ่ายทำ ทีมงานครึ่งหนึ่งติดโควิด แม้ว่าเราจะมีเครื่องตรวจที่หน้าตาอย่างกับเครื่องถ่ายเอกสารยุค 80s แต่พวกเขาลืมที่จะให้เราไว้คนละ 2 อัน กว่าจะรู้ผลตรวจก็ 3 วันเข้าไปแล้ว ดังนั้นเราจึงถ่ายทำกันไป ก่อนที่อีก 3 วันเราจะรู้ว่า อ๋อ มีทีมงานของเรา 5 คนที่ติดโควิด”

“และต่อมา เราก็เริ่มถ่ายทำกับช่างกล้องทีวีที่ไม่เชื่อในโควิด พวกเขาเชื่อว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวงของฝ่ายเสรีนิยมและเชื่อว่าเริ่มต้นมาจากจีน พวกเขาเรียกมันว่า ‘Wuhan flu’ ตามที่ทรัมป์ใช้ เหตุผลที่ผมถ่ายฉากนี้ก็เพราะผมต้องการแสดงให้เห็นว่า ความเท็จและทฤษฎีสมคบคิดพวกนี้มันนำไปสู่ความรุนแรงได้ยังไง ซึ่งเพลงคันทรีตลก ๆ นี้ พี่ชายของผมเป็นคนเขียนเกี่ยวกับการไล่ฉีดไวรัสอู่ฮั่น และเป็นการเตือนว่า คำโกหกที่ถูกป้อนให้คนดี ๆ อาจทำให้คนดีทำสิ่งที่เลวร้ายได้”

“มีสมาชิกกลุ่ม Black Lives Matter คนหนึ่งที่แฝงตัวเข้าไปในฝูงชนเพราะมีความขัดแย้งระหว่างสองกลุ่มนี้เกิดขึ้น คน ๆ นั้นจำผมได้แล้วพูดว่า ‘เฮ้ย ! ซาชา บารอน โคเฮน นี่มันโบรัตนี่หว่า…’ แล้วจากนั้นผู้คนก็เริ่มกรูเข้ามา พยายามจะขึ้นเวที”

“สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เราจ่ายเงินสำหรับการรักษาความปลอดภัยของงานนี้ไว้แล้ว ดังนั้นกว่าพวกเขาจะขึ้นเวทีมาได้เลยใช้เวลานานมาก แต่พวกเขาก็ขึ้นเวทีมาจนได้ และหนึ่งในนั้นก็ชักปืนออกมา โชคดีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจับแขนของเขาไว้ได้และพูดข้างหูเขาว่า ‘มันไม่คุ้มหรอกนะเพื่อน’ ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่านี่คือสิ่งที่คุณต้องทำเมื่อมีคนจะมายิงคุณน่ะนะ”

“แล้วผมก็ถูกพาตัวออกจากเวทีไปขึ้นรถพยาบาลที่จอดรออยู่เพื่อพาไปยังที่ปลอดภัย เจ้าหน้าที่บอกกับผมว่า ‘ไป ๆๆๆ ไปเลย ! ปิดประตูเลยเร็วเข้า !’ แต่ผมเห็นผู้กำกับ เจสัน โวลิเนอร์ (Jason Woliner) กำลังวิ่ง ในขณะที่มีกลุ่มผู้ชายที่ถือปืนวิ่งไล่ตาม เจ้าหน้าที่บอกว่า ‘เรารอไม่ได้’ แต่ผมสั่งว่าให้รอเขาก่อน เขาก็บอกว่า ‘เราทำไม่ได้ ไปกันเถอะ ไป ๆๆ ‘ แต่ผมตัดสินใจที่จะรอเขา เจสันกระโดดขึ้นมา เราปิดประตู แล้วรถเราก็ถูกล้อม”

“ผมถามเจ้าหน้าที่ว่า ‘ปิดประตูแล้วใช่ไหม ? คุณล็อกหมดทุกประตูแล้วใช่ไหม ? ‘ เขาตอบว่า ‘ใช่ แน่นอน’ แต่ประตูบานหนึ่งถูกดีงเปิดออก แล้วพวกเขาพยายามจะดึงตัวผมออกมาจากรถ ด้วยกฏของฟิสิกส์ล้วน ๆ ผมจับประตูไว้ แล้วใช้ขาเพื่อดันกับแรงดึงของพวกเขา จนสามารถปิดประตูได้”

แต่นั่นไม่ใช่จุดสิ้นสุด เพราะเขายังถูกกลุ่มคนขวาจัดที่กำลังโกรธเกรี้ยว ไล่ล่าตามเขาไปจนถึงที่พัก

“ผมเข้าไปซ่อนตัวใน Airbnb ใกล้ ๆ ตัวเมืองทาโคมา พวกเขารู้ว่าผมอยู่ที่ไหน แล้วจากนั้นผมก็ต้องเปลี่ยนที่พักทุกคืน เพราะคนที่มีอิทธิพลในพื้นที่พวกนี้กำลังตามหาผม นั่นคือช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการถ่ายทำ ‘Borat 2’ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างตึงเครียดมาก”

‘Borat Subsequent Moviefilm’ เล่าเรื่องราว 14 ปีหลังจากภาคแรก หลังจากที่ โบรัต ซักดิเยฟ ถูกตัดสินให้ทำงานในค่ายกักกันตลอดชีวิต แต่เขากลับได้รับภารกิจจากประธานาธิบดีคาซัคสถาน ให้เดินทางกลับไปยังสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง เพื่อพาลิงชิมแปนซีชื่อจอห์นนี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และนักแสดงหนังโป๊ชื่อดังของคาซัคสถาน ไปส่งให้กับ ไมก์ เพนซ์ (Mike Pence) รองประธานาธิบดีรัฐบาลทรัมป์ ก่อนจะพบว่า ตูตาร์ ลูกสาววัย 15 ปีที่เขาเลี้ยงเอาไว้ในคอกดันแอบตามมาด้วย

กระแสตัวหนังไม่เท่าภาคแรก ส่วนหนึ่งเพราะสร้างขึ้นภายใต้ Amazon Studios และฉายใน Prime Video เป็นหลัก ตัวหนังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ 2 รางวัล ได้แก่รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ประเภทเพลงหรือตลก และรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ประเภทเพลงหรือตลกของโคเฮน และยังแจ้งเกิด มาเรีย บากาโลวา (Maria Bakalova) นักแสดงสาวชาวบัลแกเรียผู้รับบทตูตาร์ ที่ได้เข้าชิงในหลายเวทีอีกด้วย

Sacha Baron Cohen Borat Subsequent Moviefilm Delivery of Prodigious Bribe

ด้วยความอื้อฉาวของตัวหนังที่พาดพิงบุคคล เหยียดทุกประเด็นสังคม ปลอมตัวเข้าไปสร้างสถานการณ์กวนประสาท แถมยังจิกกัดทุกฝ่าย ทุกประเทศแบบเปิดหน้า มาพร้อมกับมุกสัปดนเลอะเทอะ ทำให้หนังเรื่องนี้ตกเป็นประเด็นดราม่าร้องเรียนนับไม่ถ้วน ถูกแบนจากหลายประเทศรวมทั้งคาซัคสถาน แต่ในภาค 2 สำนักงานการท่องเที่ยวของคาซัคสถาน กลับทำแคมเปญขื่นชมโบรัตในฐานะทูตที่ทำให้นานาชาติรู้จักคาซัคสถาน และมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นเสียอย่างนั้น

แม้ทั้ง 2 ภาคจะประสบความสำเร็จและทำให้เขาเป็นที่รู้จัก แต่เขาเองกลับไม่ได้รู้สึกอยากจะทำอะไรเสี่ยง ๆ แบบนี้อีก นี่จึงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเผยว่าอยากถอดชุดสูทสีเทาตัวโคร่ง และกางเกงในสีเขียวสะท้อนแสง เขาเคยเปิดเผยเรื่องนี้ไว้ใน USA TODAY

“มันเป็นสิ่งที่ใช้พลังอย่างมากในทุกด้านเลยครับ มันทั้งทำให้หมดแรง อาจเป็นอันตราย และอาจไม่คุ้มค่าด้วย มันเหมือนว่าคุณกำลังใช้ชีวิตที่ทุกข์ทรมานอยู่ แน่นอนว่าเมื่อผลิตผลงานที่ดีออกมา ผลลัพธ์มันย่อมคุ้มค่า แต่กระบวนการระหว่างทางมันไม่ได้สนุกเอาซะเลย”

และนั่นทำให้เขาตัดสินใจปิดฉากตัวละครโบรัต นักข่าวหนวดงามจอมเปิ่นอย่างถาวร เขาเผยกับ Variety ว่า หลังจากเสร็จสิ้นภาค 2 เขาไม่มีแผนที่จะทำ ‘Borat ภาค 3’ อีกต่อไป

“ผมพาโบรัตกลับมาก็เพราะทรัมป์ หนังเรื่องนี้ (‘Borat 2’) มีเป้าหมายของมันอยู่ และผมก็ไม่เห็นว่าจะมีเหตุผลอะไรที่จะทำอีกภาค ดังนั้น ใช่ครับ เขาถูกเก็บเข้ากรุไปแล้ว”