ไม่ต้องสาธยายให้มากความ แฟนหนังย่อมรู้กันดีว่า เดนเซล วอชิงตัน (Denzel Washington) คือนักแสดงที่ถึงพร้อมทั้งในด้านเสน่ห์อันสุขุม รวมทั้งฝีมือการแสดงหลากบทบาทที่เอาชนะใจคนดูและนักวิจารณ์ได้ทุกครั้งที่ปรากฏตัว รวมทั้งการวางตัวอย่างดีจนทำให้ทั้งวงการต่างให้เกียรติเขาในฐานะพี่ใหญ่ของฮอลลีวูดที่สามารถยืนระยะในวงการมาอย่างยาวนานกว่า 4 ทศวรรษ
หลังจากที่รับบทเป็นแม็กครินัส อดีตทาสผู้แย่งซีนจากนักวิจารณ์ได้อย่างเฉียบขาดใน ‘Gladiator II’ ล่าสุด วอชิงตันได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Esquire ซึ่งเขาได้เปิดเผยอีกด้านของนักแสดงผู้เป็นเจ้าของ 2 รางวัลออสการ์เป็นการันตี เมื่อตอนที่เขารับบทเป็น รูบิน คาร์เตอร์ นักมวยรุ่นมิดเดิลเวตฉายา ‘The Hurricane’ ที่ถูกตัดสินจำคุกในข้อหาฆาตกรรมอย่างไม่เป็นธรรมใน ‘The Hurricane’ (1999) หนังชีวประวัติดราม่ากีฬามวยของผู้กำกับ นอร์แมน จิววิสัน (Norman Jewison)
แม้ก่อนหน้านี้ วอชิงตันจะเคยได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากการแสดงของเขาใน ‘Glory’ (1989) แต่การได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่ 4 ในชีวิตของเขา และการเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตครั้งนี้ เขาตั้งเป้าว่าจะสามารถคว้ารางวัลที่สำคัญและยิ่งใหญ่ของฮอลลีวูดให้ได้สักครั้ง
วอชิงตันได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในปีนั้นร่วมกับนักแสดงระดับฝีมือทั้ง เควิน สเปซีย์ (Kevin Spacey) จาก ‘American Beauty’ (1999), รัสเซล โครว์ (Russell Crowe) จาก ‘The Insider’ (1999), ริชาร์ด ฟาร์นส์เวิร์ธ (Richard Farnsworth) จาก ‘The Straight Story’ (1999) และ ฌอน เพนน์ (Sean Penn) จาก ‘Sweet and Lowdown’ (1999)
แต่เขากลับต้องพบกับความผิดหวังและขมขื่น หลังคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ แต่กลับชวดรางวัลนี้ให้กับสเปซีย์ นักแสดงที่ปัจจุบันนี้ถูกฮอลลีวูดแบนจากข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศ
“ในงานออสการ์ พวกเขาประกาศชื่อเควิน สเปซีย์ จากหนังเรื่อง ‘American Beauty’ ผมจำตอนนั้นได้ว่าหันไปมองเขา แต่ไม่มีใครยืนขึ้นยกเว้นคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขา และคนอื่นก็หันมองมาที่ผม คือมันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นจริง ๆ อาจจะเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกไปเอง ผมอาจจะคิดไปเองว่าทุกคนกำลังจ้องมองผมอยู่ แบบว่าทำไมทุกคนถึงจ้องมองผมกันนะ ? แต่พอมาคิดตอนนี้ ผมคิดว่าตอนนั้นคงไม่มีใครมองผมหรอก”
วอชิงตันยอมรับว่า ในค่ำคืนนั้น การพลาดจากสิ่งที่หวัง โดยเฉพาะสิ่งที่เขาคาดหวังไว้ ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด และจมอยู่กับกองทุกข์ที่เกิดจากความผิดหวัง
“ผมจำได้แม่นเลยว่า คืนนั้นผมกลับบ้านไปดื่มแน่นอน ผมว่าผมต้องทำแบบนั้นแน่ ๆ ผมไม่ได้อยากจะให้ฟังดูเหมือนแบบว่า ‘โธ่เอ๊ย เขาชนะรางวัลที่ผมควรจะได้’ หรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ มันไม่ใช่แบบนั้นเลย แล้วคนอื่น ๆ ก็เริ่มมีการพูดคุยซุบซิบกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้น แต่ผมคิดว่าเรื่องนั้นมันเป็นเรื่องแค่ของเขากับพระเจ้า ผมคงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรด้วย ผมได้แต่อวยพรให้เขา มันเป็นเรื่องระหว่างเขากับทีมงานผู้สร้างของเขาเท่านั้น”
วอชิงตันได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมครั้งแรกจากการรับบทใน ‘Cry Freedom’ (1987) ก่อนจะคว้ารางวัลนี้ได้เป็นครั้งแรกใน ‘Glory’ (1989) และได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมครั้งแรก จากการรับบทเป็นรัฐบุรุษ มัลคอล์ม เอ็กซ์ ใน ‘Malcolm X’ (1992) ก่อนจะพ่ายให้กับ อัล ปาชิโน (Al Pacino) จาก ‘Scent of a Woman’ (1992) แต่ในอีก 9 ปีต่อมา เขาก็สามารถคว้ารางวัลนี้ได้สำเร็จจากการพลิกจากบทพระเอก มารับบทร้ายเป็นตำรวจจอมฉ้อฉลใน ‘Training Day’ (2001)
ตลอดเวลาที่ผ่านมา วอชิงตันเป็นนักแสดงที่ทำสถิติเป็นนักแสดงชายเชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันคนที่ 2 ที่ได้รับรางวัลออสการ์ต่อจากซิดนีย์ พอยเทียร์ (Sidney Poitier) เป็น 1 ใน 5 นักแสดงชายผิวดำที่เคยได้รับรางวัลออสการ์ และยังเป็นเจ้าของสถิติเป็นนักแสดงผิวดำที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 10 ครั้ง โดยครั้งล่าสุด เขาได้เข้าชิงในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่ 7 จากหนังทริลเลอร์อิงประวัติศาสตร์ ‘The Tragedy of Macbeth’ (2021)
วอชิงตันเล่าต่อไปอีกว่า เขายังรู้สึกขมขื่นกับความผิดหวังในค่ำคืนนั้น จนกระทั่งฤดูกาลออสการ์เวียนมาบรรจบอีกรอบ เขาก็ยังคงจมอยู่กับกองทุกข์และความผิดหวัง จนทำให้เขา ในฐานะสมาชิกของสถาบันศิลปะและวิชาการทางภาพยนตร์ (Academy of Motion Picture Arts and Sciences – AMPAS) หมดกะจิตกะใจที่จะนั่งดู Screener หนังที่ส่งเข้ามาเพื่อให้สมาชิกของลงคะแนนเพื่อเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ และยกให้เป็นหน้าที่ของภรรยา พอลเล็ตตา วอชิงตัน (Pauletta Washington) ทำแทน
“ตอนนั้นผมต้องผ่านช่วงเวลาที่พอลเล็ตตาต้องนั่งดูหนัง (เพื่อเสนอชื่อเข้าชิง) รางวัลออสการ์ทุกเรื่อง ผมเลยบอกับเธอว่า ผมไม่สนใจออสการ์แล้ว แบบว่า เออ… พวกเขาไม่สนใจผมใช่ไหม ? งั้นผมเองก็ไม่สนใจเหมือนกัน คุณดูแล้วก็ลงคะแนนไปเลย ผมไม่ดูหรอก ผมยอมแพ้ ผมขมขื่น ผมเอาแต่จมตัวเองอยู่กับความทุกข์”
“ที่ผมอยากจะบอกคือ ตั้งแต่ปี 1999 จนถึงปี 2014 ตอนช่วงที่ผมเลิกดื่มไปแล้ว ผมรู้สึกขมขื่นอยู่นานถึง 15 ปี ผมแทบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าช่วงนั้นผมแสดงหนังเรื่องไหน น่าจะ ‘John Q.’ (2002) หรือไม่ก็ ‘The Manchurian Candidate’ (2004) นี่แหละ แต่ตอนนั้นผมกลับไม่รู้ตัวเลยว่าผมรู้สึกขมขื่นมากขนาดไหน”