‘Babylon’ (2022) ภาพยนตร์ Epic ตลกร้ายฟอร์มยักษ์ ที่ล้มเหลวทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ แถมยังทำให้ เดเมียน ชาเซลล์ (Damien Chazelle) ถึงกับต้องทอดถอนใจ แต่เช่นเดียวกับหนังอีกหลายเรื่อง หนังเรื่องนี้ก็ยังมีผู้ที่ชื่นชอบ 1 ในนั้นก็คือว่าที่คุณแม่มือใหม่ มาร์โกต์ ร็อบบี (Margot Robbie) นักแสดงนำเจ้าของบท เนลลี ลารอย ที่ได้เปิดเผยกับพอดแคสต์ Talking Pictures ว่า เธอเองรักหนังเรื่องนี้มาก และไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงไม่ชอบหนังเรื่องนี้
“ฉันเองก็ยังพูดว่า ฉันรักหนังเรื่องนี้มาก ๆ เลย ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ คือฉันน่ะรู้ตัวดีว่าฉันลำเอียง เพราะฉันอยู่ใกล้ชิดกับโปรเจกต์นี้มาก ๆ และฉันก็ศรัทธาในหนังเรื่องนี้มาก ๆ แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมคนถึงเกลียดหนังเรื่องนี้กันนัก”
ร็อบบีหยิบยกหนังเรื่องนี้มาเทียบกับหนังฮอลลีวูดขวัญใจชาวประชาในตำนานอย่าง ‘The Shawshank Redemption’ (1994) ที่ตอนฉายครั้งแรกในฤดูใบไม้ร่วงปี 1994 ตัวหนังทำรายได้จากการฉายในโรงภาพยนตร์เพียงแค่ 16 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 25 ล้านเหรียญ แต่ด้วยความนิยมของผู้ชมจากการดูหนังผ่านเคเบิลทีวีและจากการเช่า DVD ทำให้ตัวหนังได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ในหนังที่ดึที่สุดในเวลาต่อมา
“…ฉันสงสัยว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า อาจจะมีคนพูดว่า ‘เดี๋ยวนะ ‘Babylon’ ก็ไม่ประสบความสำเร็จตอนฉายด้วยเหรอ ? เหมือนที่คุณเคยได้ยิน ‘The Shawshank Redemption’ แล้วคุณรู้สึกงงว่า ‘มันเป็นไปได้ไง ? ‘ แบบนั้นแหละค่ะ'”
‘Babylon’ ผลงานกำกับลำดับที่ 4 ของชาเซลล์ที่ยังคงพูดเรื่องของชีวิต ความรัก และความฝันของคนตัวเล็ก ๆ แต่คราวนี้ย้อนอดีตเล่าถึงช่วงเวลาเรืองรองและล่มสลายของวงการหนังเงียบในช่วงทศวรรษ 1920 ผ่านตัวละครดาราหนังขาวดำรุ่นใหญ่, สาวน้อยโนเนมที่อยากเป็นดาราหนัง และบริกรหนุ่มเม็กซิกันที่ใฝ่ฝันอยากทำงานในวงการหนัง
แม้ตัวหนังจะมีนักแสดงแถวหน้ามากมายมาร่วมงานทั้งร็อบบี, แบรด พิตต์ (Brad Pitt), ดิเอโก คาลวา (Diego Calva) หรือแม้แต่โทบีย์ แม็กไกวร์ (Tobey Maguire) แถมงานสร้างโดยรวมเรียกว่าจัดเต็มในทุกด้าน แม้แต่เพลงสกอร์แนวแจ๊สที่ประพันธ์โดย จัสติน เฮอร์วิตซ์ (Justin Hurwitz) ยังระห่ำจนสามารถคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ สาขาดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาครองมาได้ แต่ด้วยความที่บทและการเล่าเรื่องอันจัดจ้านและทะเยอทะยาน ทำให้ได้รับคำวิจารณ์เสียงแตก และทำรายได้เพียง 64 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 80 ล้านเหรียญ
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ชาเซลล์ ผู้กำกับเนื้อหอมที่เคยพาหนังดนตรี ‘Whiplash’ (2014) และหนังมิวสิคัล ‘La La Land’ (2016) ไปถึงเวทีออสการ์ ถึงกับออกมาพูดผ่านพอดแคสต์ Talking Pictures แบบทอดถอนใจว่า จากความล้มเหลวของหนังเรื่องนี้ อาจทำให้เขาไม่มีโอกาสได้กำกับหนังในขนาดเทียบเท่า ‘Babylon’ อีกต่อไปแล้วก็เป็นได้
แม้ตอนนี้จะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า ‘Babylon’ จะถูกยกระดับให้กลายเป็นหนังคัลต์คลาสสิกเช่นเดียวกับ ‘The Shawshank Redemption’ ได้หรือไม่ แต่เธอก็ประทับใจในการทำงานในหนังเรื่องนี้มาก ๆ รวมทั้งการทำงานร่วมกับผู้กำกับอย่างชาเซลล์ ซึ่งเธอได้ยกมาเปรียบเทียบกับ เกรตา เกอร์วิก (Greta Gerwig) ผู้กำกับหญิงที่เคยจับมือพากันปังมาแล้วใน ‘Barbie’ (2023)
“เขาเป็นคนเก่งมากนะคะ คือมันตลกดีที่เขาทำให้ฉันนึกถึงเกรตาด้วย ฉันคิดว่าพวกเขาคงไม่เคยได้คุยกันหรอก แต่ทั้ง 2 คนอายุใกล้ ๆ กัน ดูหนังแบบเดียวกัน ฉันเลยแอบสงสัยว่า พวกคุณทั้ง 2 คนรู้ตัวไหมเนี่ยว่าตัวเองคล้ายกันมากขนาดไหน”
นอกจากนี้ ร็อบบียังเล่าถึงความประทับใจในการร่วมงานกับชาเซลล์ใน ‘Babylon’
“เดเมียนเป็นคนที่ละเอียดมากค่ะ รู้ไหมว่าฉันชอบอะไรในการร่วมงานกับเขามากที่สุด คือฉันรู้สึกว่าไม่เคยมีใครที่ทุ่มเทขนาดนี้มาก่อน เขาทุ่มเทอยู่ตลอดเวลา เขาอยากได้อะไรที่มากกว่านี้เสมอ แม้แต่กระทั่งตอนเตรียมงาน”
“ตอนที่เราพยายามจะหาสำเนียงของตัวละคร (เนลลี) ว่าควรจะเป็นแบบไหน ฉันเสนอไป 51 สำเนียงที่แตกต่างกัน มันเหมือนกับการโชว์เดี่ยวเลย เราเริ่มกันตั้งแต่สำเนียงแบบบอสตัน เนลลีมาจากบอสตัน หรือถ้าเป็นเสียงนี้ เธอจะฟังดูเหมือนว่าเธอมาจากอาร์คันซอ แล้วจากนั้นฉันก็ทำให้มันเฉพาะเจาะจงขึ้น ‘นี่คือเนลลีที่ผสมกันระหว่าง *สนูกกี (Snooki) จากรายการ ‘Jersey Shore’ กับ โจ เพชชี (Joe Pesci)'”
“แล้วเขาก็จะพูดว่า ‘โอเค ผมชอบเสียงสนูกกีนะ แต่คุณน่าจะลองผสมกับใครอีกสักคน’ ฉันเลยบอกว่า ‘งั้นเดี๋ยวฉันผสมสนูกกี กับ **ฟราน เดรสเชอร์ดู’ นี่แหละค่ะคือความเฉพาะเจาะจงที่เราทั้งคู่ทำกัน แล้วฉันก็บอกเขาว่า ‘เดเมียน คุณต้องเคาะสักอันแล้วนะ มันชักจะเยอะไปหน่อย’ เขาก็เลยบอกว่า ‘ผมคิดว่าเธอน่าจะมาจากนิวเจอร์ซีย์นะ เพราะผมก็มาจากนิวเจอร์ซีย์'”
*สนูกกี (Snooki) ฉายาของ นิโคล โพลิซซี (Nicole Polizzi) คนดังจากรายการเรียลลิตีโชว์ ‘Jersey Shore: Family Vacation’ ของช่อง MTV
**ฟราน เดรสเชอร์ (Fran Drescher) นักแสดงจากภาพยนตร์ ‘Saturday Night Fever’ (1977) และซิตคอม ‘The Nanny’ (1993–1999)