แม้ว่า จาเร็ต เลโต (Jared Leto) นักแสดงและฟรอนต์แมนวงดนตรีร็อก Thirty Seconds to Mars จะเป็นที่จดจำของแฟน ๆ จากบทบาทอันจัดจ้านในหนังซูเปอร์ฮีโรที่ได้รับคำวิจารณ์แง่ลบ ตั้งแต่การรับบทเป็นวายร้ายโจ๊กเกอร์ใน ‘Suicide Squad’ (2016) ของ DC และรับบทเป็นมอร์เบียส แอนตีฮีโรจักรวาล Spider-Man ใน ‘Morbius’ (2022) ที่กลายเป็นมีมสนุกปากของชาวเน็ตอยู่ช่วงหนึ่ง
แต่ในอีกด้าน เขาคือนักแสดงคุณภาพที่ทุ่มเทกับการแสดงและได้โทรฟีมาตั้งโชว์ที่บ้านมากมาย ยกเว้นก็แต่โทรฟีรางวัลออสการ์ตัวแรกในชีวิต ที่เขาดันทำหายไปอย่างลึกลับเสียอย่างนั้น จนกระทั่งไม่กี่วันที่ผ่านมา เลโตได้โพสต์ภาพบน Instagram เพื่อประกาศว่า เขาหาโทรฟีรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากการแสดงในหนังดราม่าชีวประวัติ ‘Dallas Buyers Club’ (2013) ที่หายไปนานถึง 6 ปีเจอเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับแคปชันสั้น ๆ ว่า ‘หาออสการ์ของผมเจอแล้ว’
‘Dallas Buyers Club’ เป็นหนังที่ดัดแปลงจากชีวประวัติชีวิตจริงของ รอน วูดรูฟ (Ron Woodroof) ช่างไฟฟ้าและนักกีฬาโรดิโอหนุ่มชาวเท็กซัสนิสัยเสเพล เหยียดผิว เหยียดคนร่วมเพศ แต่โชคชะตาทำให้เขาติดเชื้อ HIV และมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ท่ามกลางยุคสมัยของปี 1985 ที่โรค HIV และเอดส์ยังเป็นโรคใหม่ที่ไม่มีหนทางรักษา รอนจึงได้ริเริ่มก่อตั้ง Buyers Club ชุมชนที่ให้ผู้ป่วย HIV ร่วมกันลงขันรายเดือนเพื่อใช้เป็นทุนในการค้นหาวิธีการรักษาโรคแบบใหม่ ๆ โดยไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากรัฐ
ในหนังเรื่องนี้ เลโตรับบทเป็น เรย์มอนด์ เรยอน หญิงข้ามเพศผู้ติดเชื้อ HIV ที่ร่วมมือร่วมกับรอนก่อตั้ง Buyers Club ขึ้นมา โดยในการเตรียมตัวเพื่อรับบทนี้ เลโตต้องทำการลดน้ำหนักลงถึง 30 ปอนด์ (13 กิโลกรัม) โกนคิ้ว และแวกซ์ขนทั้งตัวเพื่อให้ตรงตามคาแรกเตอร์
นอกจากนี้เขาได้นำเอาประสบการณ์ของอดีตรูมเมตของเขาที่เสียชีวิตจากโรคเอดส์ ตอนที่เขาย้ายไปอยู่ลอสแองเจลิสในปี 1991 มาผสมกับการพูดคุยกับหญิงข้ามเพศอยู่นานหลายสัปดาห์ แถมเขายังเปลี่ยนเสียงตัวเองให้ตรงกับคาแรกเตอร์ตลอดการถ่ายทำ ชนิดที่ผู้กำกับ ฌอง-มาร์ค วาลลี (Jean-Marc Vallée) ถึงกับเอ่ยปากว่า เขาไม่เคยแสดงความเป็น จาเร็ต เลโตออกมาให้เห็นเลยระหว่างถ่ายทำ
ด้วยความทุ่มเทสุดตัวของเขาและ แมทธิว แม็กคอนนาเฮย์ (Matthew McConaughey) ที่ก็ต้องทุ่มเทลดน้ำหนักลงกว่า 50 ปอนด์ (22 กิโลกรัม) เพื่อรับบทคนป่วยโรคเอดส์ด้วยเช่นกัน ส่งให้หนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะตัวของแม็กคอนนาเฮย์และเลโต ที่จับมือกันเข้าชิงและคว้ารางวัลนักแสดงนำชาย-สมทบชายยอดเยี่ยมแบบแพ็กคู่ ตั้งแต่เวทีลูกโลกทองคำ, SAG Awards รวมทั้งเวทีออสการ์ที่มีชื่อเข้าชิง 6 สาขา และได้รับ 3 รางวัล ซึ่ง 2 รางวัลนี้ก็ตกเป็นของแม็กคอนนาเฮย์และเลโต ที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำชาย-สมทบชายยอดเยี่ยมอีกเช่นเดียวกัน
แต่เคราะห์หามยามร้าย ในปี 2021 เลโตรับสารภาพเป็นครั้งแรกในรายการ The Late Late Show with James Corden ว่า ในระหว่างการเก็บข้าวของเพื่อย้ายไปยังบ้านหลังใหม่ที่ลอสแองเจลิสเมื่อ 3 ปีก่อน เลโตพบว่าเขากลับหาโทรฟีรางวัลออสการ์ตัวแรกและตัวเดียวในชีวิตของเขาไม่เจอ และมันก็หายสาบสูญไปอย่างไร้วี่แวว
“ผมเองเพิ่งจะรู้ครับว่ามันหายไปประมาณ 3 ปีได้ ผมเองก็ไม่รู้มาก่อน และคงไม่มีใครอยากจะบอกผม ตอนผมย้ายบ้านไปลอสแองเจลิส มันก็หายไปแบบไร้ร่องรอย มันอาจจะอยู่ที่ไหนสักที่หนึ่งนี่แหละ แต่ทุกคนในบ้านก็หากันทุกซอกทุกมุมแล้ว ผมหวังว่ามันจะอยู่ในมือของคนใจดีที่ไหนสักที่ เพราะผมไม่เห็นมันมาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว”
“มันคงไม่ใช่ของที่ใครจะเผลอโยนทิ้งลงถังขยะหรอกมั้ง ผมหวังว่าจะมีใครบางคนเก็บมันไว้อยู่นะครับ ผมยังมีความทรงจำที่ดีกับมันอยู่นะครับ ผมยังจดจำค่ำคืนที่ได้มันมา มีคนหลายคนที่ได้หยิบจับโทรฟีอันนั้น มันอาจจะมีรอยขีดข่วนบ้าง แต่มันก็เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าประทับใจอยู่ ผมหวังว่าคนที่เก็บได้จะดูแลมันให้ดี ๆ แทนผม”
เลโตเคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว AP เมื่อปี 2014 หลังจากได้รับรางวัลออสการ์มาหมาด ๆ ว่า ความสำเร็จของ ‘Dallas Buyers Club’ ทำให้เขาที่พักงานแสดงเพื่อมุ่งมั่นให้กับการทำเพลงกับวงของตัวเอง กลับมาสนใจในด้านการแสดงอีกครั้ง และรางวัลออสการ์ก็เป็นเหมือนใบผ่านที่ทำให้ผู้กำกับหนังแถวหน้าสนใจอยากได้เขามาร่วมงานมากมาย
“ผมกำลังดูและอ่านบทอยู่ครับ ซึ่งก็น่าสนใจอยู่ เพราะว่าผมไม่ได้อ่านบทมานานหลายปีแล้วก่อนที่ ‘Dallas Buyers Club’ จะเข้าฉาย แต่ตอนนี้ ผมมีโอกาสที่จะได้ทำงานร่วมกับคนที่ผมเคารพและชื่นชมจริง ๆ และคนที่ทำให้งานของพวกเขากลายมาเป็นที่สร้างแรงบันดาลใจและมีอิทธิพล”
นอกจากนี้เขายังเปิดเผยว่า แม้รางวัลออสการ์จะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ ๆ ในฮอลลีวูด แต่เขาก็ไม่ได้ยึดติดกับตัวรางวัลหรือตัวโทรฟีมากนัก
“ผมทำมันเสียหายนิดหน่อยครับ พอกลับบ้านมา ก็เพิ่งจะเห็นว่ามันมีรอยเพิ่มมาอีกแผล ดูเหมือนจะมีคนที่เล่นสนุกกับมันเหมือนกัน โทรฟีของผมมันเละเทะมากเลย ในงานปาร์ตี้ ทุกคนต่างก็อยากจะจับมัน ผมก็เลยให้ทุกคนผลัดกันจับกันไปมาอยู่เรื่อย ๆ และ 2-3 ครั้งต่อมาผมก็ทำมันหายไป ผมก็เลยคิดได้ว่า ‘ถ้ามันจะหายไป แสดงว่ามันคงไม่ได้เป็นของผมจริง ๆ หรอก’ แต่สุดท้ายมันก็กลับมาหาผมทุกครั้งเลย”