ก่อนที่นักแสดงหนุ่มหล่อ โรเบิร์ต แพททินสัน (Robert Pattinson) จะกลายมาเป็นนักแสดงที่ได้รับการยอมรับในฝีมืออีกคนของวงการ หลายคนอาจลืมไปแล้วว่า บทบาทแจ้งเกิดในฮอลลีวูดของเขาก็คือ เอ็ดเวิร์ด แวมไพร์หนุ่มขวัญใจสาว ๆ จากแฟรนไชส์ ‘Twilight’ ที่แม้ว่าจะสร้างปรากฏการณ์ฟีเวอร์ไปทั่วโลก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พอแฟรนไชส์ชุดนี้จบลงใน ‘The Twilight Saga: Breaking Dawn’ – Part 2 (2012) เหล่านักแสดงต่างก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางของตัวเอง
แพททินสันได้เล่าเรื่องขำ ๆ นี้ในบทสัมภาษณ์ล่าสุดของ The New York Times โดยเรื่องเกิดขึ้นเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา เขาและคู่หมั้น ซูกิ วอเตอร์เฮาส์ (Suki Waterhouse) ได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่หมู่เกาะเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์ ซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตทะเลแคริบเบียน จนเมื่อเขามาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองคนหนึ่ง ที่น่าจะไม่ได้เป็นแฟนติดตามผลงานของเขาจึงถามว่า
“เฮ้ คุณคือคนที่แสดงในหนัง ‘Twilight’ หรือเปล่า ? ทำไมคุณถึงเลิกเล่นหนังไปแล้วล่ะคะ ?”
แพททินสันได้แต่อึ้ง ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี “…คือผมก็เลยแบบว่า ‘ผมไม่ใช่คนที่เล่นแบทแมนเหรอ ?”
“เธอก็เลยได้แต่หัวเราะอย่างเดียวเลยครับ” แพททินสันเล่าเสริม
![Kristen Stewart and Robert Pattinson Twilight](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2024/12/Robert-Pattinson-Twilight-01-1600x1061.jpg)
แพททินสันเปลี่ยนตัวเองจากการเป็นเด็กขี้อาย ด้วยการสมัครเข้าชมรมละครเวทีของโรงเรียน ก่อนจะเริ่มตระเวนไปออดิชันในละครเวที และพาให้เขาได้รับบทเล็ก ๆ ในหนังเรื่องแรก ‘Vanity Fair’ (2004) แต่โชคร้ายที่ซีนของเขากลับถูกตัดทิ้งไปตอนฉายจริง จนกระทั่งในวัย 19 ปี เขาได้รับโอกาสที่ใหญ่ขึ้นใน ‘Harry Potter and the Goblet of Fire’ (2005) ที่เขารับบทเป็น เซดริก ดิกกอรี นักกีฬาควิดดิชแห่งบ้านฮัฟเฟิลพัฟ ที่ทำให้เขาได้รับความสนใจมากขึ้น
และบทบาทที่ทำให้เขาแจ้งเกิดในวงการ นั่นก็คือการรับบทเป็น เอ็ดเวิร์ด คัลเลน แวมไพร์หนุ่มรูปงามมาดนิ่งผู้ตกหลุมรักเด็กสาวมัธยมปลาย จากแฟรนไชส์ ‘Twilight’ ทั้ง 4 ตอน 5 ภาค ด้วยความนิยมในหมู่ผู้ชมสาว ๆ ที่ชื่นชอบเรื่องราว และปฏิเสธไม่ได้ว่าความฮอตของ 2 นักแสดงหนุ่ม 2 สไตล์ ทั้งหล่อใสแบบแพททินสัน และหล่อเข้มแบบ เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์ (Taylor Lautner) ทำให้ตัวหนังประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น
ส่งให้แพททินสันกลายเป็น 1 ในนักแสดงที่ได้รับค่าตัวสูงที่สุดในโลก ได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งปีจากนิตยสาร Time ในปี 2010 และได้รับเลือกให้เป็น ‘Sexiest Man Alive’ ของนิตยสาร People ในปี 2008 และ 2009 และแน่นอนว่ามีแฟนคลับที่หลงใหลติดตามพวกเขาอย่างเหนียวแน่น
แต่ถึงอย่างนั้น ‘Twilight’ ก็ตกเป็นเป้าโจมตีจากนักวิจารณ์ และตั้งเป้ารังเกียจจากผู้ชมบางส่วน ไม่ว่าจะด้วยเรื่องคุณภาพโดยรวม บทโรแมนติกรักสามเส้า เอ็ดเวิร์ด-เบลลา-เจคอบ ที่แสนจะน้ำเน่า ไหนจะเรื่องวุ่นวายนอกจอของแพททินสัน กับคริสเตน สจวร์ต (Kristen Stewart) ที่เคยคบหากันอยู่พักหนึ่ง ในขณะที่แพททินสันเองก็โดนโจมตีว่าเป็นนักแสดงที่มีดีแค่หน้าตาหล่อ ทำให้เขาเริ่มเบื่อที่จะอยู่ท่ามกลางแสงสี
หลังจากแฟรนไชส์ ‘Twilight’ จบลง เขาจึงตัดสินใจหันหน้าหนีจากบล็อกบัสเตอร์ รับงานแสดงเฉพาะโปรเจกต์หนังนอกกระแส และหนังทดลองฟอร์มเล็ก ผลจากความท้าทายครั้งนั้น ทำให้เขาค่อย ๆ พิสูจน์ตัวเองในฐานะนักแสดงฝีมือที่ไม่ได้มีแค่ใบหน้าหล่อเหลาอีกต่อไป งานหนังนอกกระแสเรื่องแรก ๆ ของเขาที่สร้างความตกตะลึงก็คือ ‘Cosmopolis’ (2012) หนังดราม่าเข้ม ๆ ที่ได้เข้าฉายในสายประกวดรางวัลปาล์มทองคำ (Palme d’Or) ของเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ (Cannes Film Festival)
![Kristen Stewart and Robert Pattinson Twilight](https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2024/12/Kristen-Stewart-and-Robert-Pattinson-Twilight-02-1600x1061.jpg)
รวมทั้ง ‘The Lost City of Z’ (2016) หนังดราม่าผจญภัย ไปจนถึงหนังดราม่าอาชญากรรม ‘Good Time’ (2017) แต่ที่นับว่าฮือฮาทั้งในไทยและทั่วโลกก็คือ การรับบทเป็นคนเฝ้าประภาคารในหนังสยองขวัญจิตวิทยา ‘The Lighthouse’ (2019) ที่โชว์การแสดงทั้งตอนแสดงเดี่ยว และเข้าบทบาทกับนักแสดงร่วมอย่าง วิลเล็ม ดาโฟ (Willem Dafoe) ได้บ้าคลั่งสุด ๆ ก่อนจะค่อย ๆ กลับเข้าสู่เส้นทางบล็อกบัสเตอร์ ด้วยการรับบทเป็น นีล ใน ‘Tenet’ (2020) หนังจารกรรมสุดล้ำของ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) และการสวมบทเป็นอัศวินรัตติกาลวัยหนุ่ม ใน ‘The Batman’ (2022)
ปี 2020 แพททินสันได้ให้เปิดเผยผ่านคลิปของ IndieWire เพื่อตอกย้ำว่า แม้จะเป็นบทที่ทำให้เขาแจ้งเกิด แต่เขาก็ไม่ได้ชื่นชอบบทบาทแวมไพร์อายุหลักศตวรรษใน ‘Twilight’ อยู่ดี
“ตอนก่อนที่ผมจะแสดงใน ‘Twilight’ ปกติผมก็ทำอะไรประหลาด ๆ มาอยู่แล้ว และอันนี้พูดตรง ๆ นะครับ ผมคิดว่า ‘Twilight’ มันก็เป็นอะไรที่ประหลาดอยู่นะ จริง ๆ การที่มันแมสขึ้นมาได้ มันเป็นเรื่องของการตลาด ถ้าคุณดูสัมภาษณ์ผมตอนนั้น ผมมักจะพยายามจะแสดงออกด้วยการพูดจาแปลก ๆ เช่นเกี่ยวกับเรื่องการกัดรก (เพื่อช่วยเบลลาคลอดลูกสาว) หรืออะไรก็ตามที่มันดูน่าขยะแขยงจัด ๆ”
“ผมพยายามจะแสดงออกให้เห็นอยู่ตลอดนะ แต่อย่างที่รู้ครับ ผมก็แค่ตัวคนเดียวน่ะ สู้กับแผนการตลาดทั้งแผนกที่เอาแต่พูดถึงหนังว่า ‘นี่คือเทพนิยายการผจญภัยสุดโรแมนติกที่แสนจะงดงาม’ ไม่ไหวหรอก แต่ในความคิดของผมคือ ‘ไม่ มันดูน่าขยะแขยงมากกว่า'” (หัวเราะ)